รีวิวงาน AWS re: Invent Recap 2023 – The Frugal Architect and Update

พาร์ทต่อของ รีวิวงาน AWS re: Invent Recap 2023 ที่เน้นในเรื่องของ Frugal Architect และการอัปเดตเบื้องต้นในปีที่ผ่านมา
2024.03.07

สวัสดีครับ ทุกคนสบายดีไหมครับ กลับมาเจอกันอีกครั้งกับเบนจ์—เบนจามิน โดยในวันนี้ครับผมจะมาเล่าถึงพาร์ทที่เหลือของงาน AWS re: Invent Recap 2023 ซึ่งได้แก่

  • Modern Application and Development
  • Data Analytics & GEN AI
  • Infrastructure and Security

ต้องบอกก่อนเลยครับว่าทั้ง 3 หัวข้อด้านบนนี้มีแต่เนื้อหาเชิงเทคนิคทั้งนั้นเลย เซลล์ผู้ยังไม่เจนจัดเรื่อง Cloud อย่างผมจึงขออนุญาตแนะนำเซอร์วิสใหม่ ๆ ของแต่ละช่วงแบบรวบรัดครับ เพราะถ้าเล่าแบบละเอียดทั้งหมดบล็อกคงยาวมากแน่ ๆ ครับ ^-^' แต่มีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจในมุมมองของธุรกิจมากเลยครับ นั่นคือ Frugal Architect ซึ่งผมจะขอเน้นเนื้อหาส่วนนี้เป็นพิเศษครับ อนึ่ง ถ้าเพื่อน ๆ คนไหนยังไม่ได้อ่านพาร์ทแรกสามารถย้อนอ่านได้ตามลิงก์ด้านล่างนี้ครับ

รีวิวงาน AWS re: Invent Recap 2023 – Top Cloud Computing Trends 2024

ถ้าเพื่อน ๆ คนไหนอ่านแล้ว เราไปต่อกับเนื้อหาส่วนที่เหลือกันดีกว่าครับ!!!

Modern App and Development

ในเซสชั่นนี้จะมีเนื้อหา 3 ส่วนครับคือ

  1. Design: Frugal Architect (ที่เราจะเน้นกันในบทความนี้)

  2. Build: Tools to boost automation & developer productivity

  3. Run: Containers and Serverless updates

Design: Frugal Architect

เป็นหลักกการในการออกแบบแอปพลิเคชันที่ดร.เวอร์เนอร์ โวเกลส์—Dr. Werner Vogels CTO ของ AWS ได้ออกแบบขึ้นมาครับ โดยส่วนตัวของผมคิดว่านอกจากจะนำมาใช้ในการออกแบบแอปพลิเคชันแล้ว เรายังสามารถนำหลักการนี้มาประยุกต์ใช้ในธุรกิจได้เช่นกันครับ โดย Frugal Architect นี้มีองค์ประกอบ 3 ส่วนครับคือ 1.Design, 2.Measure, 3.Optimization

1.Design

แรกเริ่มของการ Design จะมี 3 ข้อที่เน้นในเรื่องความสำคัญและการจัดสรรต้นทุน (Cost) ให้เหมาะสมกับแอปพลิเคชัน

  • Cost is a Non-Functional Requirement: บ่อยครั้งเวลาเรารันแอปบนคลาวด์เรามักจะไม่ได้คิดเรื่องต้นทุน เราออกแบบระบบอย่างดี มีระบบรักษาความปลอดภัยที่รัดกุม มีการประมวลผลที่มีประสิทธิภาพ แต่เราลืมคิดเรื่องต้นทุน นั่นจึงทำให้แอปเราเป็นแอปที่ดีจริงแต่ก็ต้องเจอกับภาระต้นทุนที่อาจสูงเกินคาดด้วยเช่นกัน ดังนั้นเวลาออกแบบระบบในทุกครั้ง อย่าลืมคิดเรื่องต้นทุนด้วยเพิ่มเข้าไปด้วยนะครับ

  • Systems that Last Align Cost to Business: แอปพลิเคชันที่เราออกแบบนั้นต้องจัดเรียง(สอดคล้อง)กับ Business ซึ่งหมายความว่าตุ้นทุนและรายได้ (Revenue) ต้องสอดคล้องไปในทางเดียวกัน หากเราสร้างระบบที่มีต้นทุนกับรายได้สวนทางกันก็จะทำให้เกิดในส่วนของ Loss นั่นเอง อาทิ เราตัดสินใจเพิ่มเซอร์วิสใหม่เข้าไปในแอปแต่เจ้าเซอร์วิสนั้นกลับไม่ได้มีส่วนเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจ นั่นจึงทำให้ธุรกิจมีต้นทุนที่สูงกว่ารายได้ (ว่าง่าย ๆ ก็ขาดทุน) นั่นเองครับ ดังนั้นแอปหรือระบบที่มีการจัดสรรปันส่วนรวมถึงวางแผนต้นทุนไว้อย่างรัดกุม ก็จะทำให้ธุรกิจนั้นใช้ทรัพยากรไปกับสิ่งเหมาะสมและคุ้มค่านั่นเองครับ

  • Architecting is a Series of Trade-Offs: ในส่วนของการออกแบบแอป เซอร์วิสแต่ละตัวที่เรานำมาใช้คือต้นทุนที่เราเสียไป ดังนั้นก่อนที่จะ Trade-Offs สิ่งใดในระบบก็ตามเราควรใคร่ครวญให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจว่าจะเลือกใช้เซอร์วิสหรือทรัพยากรใด ทั้งนี้ก็เพื่อให้ต้นทุนที่จะเสียไปกลับมาเป็นแอปหรือระบบที่เหมาะสมกับธุรกิจและต้นทุนของเรามากที่สุดครับ

2.Measure

หลังจากการออกแบบระบบแล้ว การวัดค่าและตรวจสอบระบบแอปที่เราออกแบบไปนั้นก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกันครับ ว่าผลลัพธ์ที่ได้มาจะแม่นยำตามที่เราออกแบบไว้จริงหรือเปล่า และถ้าไม่ จะมีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง?

  • Unobserved Systems Lead to Unknown Costs: ในส่วนนี้คือตรงตัวเลยครับ ระบบที่ไม่มีการตรวจสอบจะนำไปสู่ต้นทุนนิรนาม! เพราะบ่อยครั้งการออกแบบระบบมักจะมีต้นทุนที่ไม่รู้จักงอกออกมาให้กังวลอยู่เสมอเลยใช่ไหมครับ “เอ๊ะ มันมายังไงนะ, ก็ตั้งค่าถูกนี่นา” ซึ่งมันจะดีไม่น้อยเลยใช่ไหมหากมีเครื่องมือที่คอยลดข้อกังวลใจในส่วนนี้ให้กับเรา

  • Cost-Aware Architectures Implement Cost Controls: จาก pain point ในข้อที่แล้ว เราต้องสร้างวิธีในการที่จะรู้ให้ได้ว่าต้นทุนที่ใช้สร้างแอปพลิเคชั่นนั้นจะมีปริมาณเท่าไร ทั้งนี้ก็เพื่อให้เราสามารถควบคุมต้นทุนเหล่านั้นได้นั่นเองครับ แหม่ ปูทางมาขนาดนี้ใช่เลยครับ AWS เขาออกเซอร์วิสใหม่เพื่อคอยตรวจสอบดูแลการเกิดต้นทุนนิรนามอย่างรัดกุมซึ่งนั่นคือ

  • Amazon Management Console myApplication เครื่องมือที่คอยสังเกตการณ์ต้นทุนของแอปให้อยู่ในภาพเดียว โดยมีทั้งข้อมูลในส่วนของต้นทุน health security posture, performance ของแอป

  • Amazon CloudWatch Application Signals เป็น Dashboard ที่คอยติดตามประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันให้ตรงตามวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ เช่น หากในระบบของเรามี operation หนึ่งที่ทำงานไม่ถูกจุด เราสามารถตรวจสอบและแก้ไขให้ดีขึ้นผ่านการเครื่องมือนี้เพื่อให้ Operation นั้นทำงานสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของธุรกิจ

3.Optimization

หลังจากที่เราสามารถตรวจสอบระบบได้แล้ว ขั้นต่อไปคือการลดต้นทุนในระบบที่ไม่จำเป็นออกให้เหลือเพียงแค่ต้นทุนที่จำเป็นสำหรับธุรกิจของเราเท่านั้นครับ

  • Cost Optimization is Incremental: หลังจากที่เราสามารถตรวจสอบต้นทุนทั้งหมดที่เกิดขึ้นในการสร้างแอปพลิเคชันได้แล้ว สิ่งที่เราจะทำต่อไปคือการตัดต้นทุนที่ไม่จำเป็น (Waste) ออกจากการออกแบบของเราครับ ซึ่งขอย้ำครับว่า เราไม่ได้นำออกเพียงเพราะให้ค่าใช้จ่ายของเราถูกลง แต่คอนเซปต์ของการ Optimization นั้นคือการคัดสรรครับ คัดแยก และจัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้กับระบบของเรา ซึ่งสามารถช่วยให้เรามั่นใจได้เลยว่าต้นทุนที่ใช้ไปในแอปพลิเคชันนั้นถูกใช้ไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดนั่นเองครับ โดย AWS เขาก็มี Service ที่ชื่อว่า Unified Billing and Cost management ที่ช่วยสรุปการทำ Cost Optimization Task ว่ามีจุดไหนที่สามารถลดต้นทุนได้บ้างให้ผู้ใช้งานได้เลือกพิจารณาด้วยครับ

  • Unchallenged Success Leads to Assumption: ในส่วนของหัวข้อนี้ฟังดูอาจจะงง ๆ หน่อยครับแต่ว่าการมีใครสักคนหนึ่งคอยให้คำแนะนำในการทำ Cost Optimization ก็ดีกว่าไม่น้อยเลยใช่ไหมครับ เพราะบางครั้งการคิดคนเดียวอาจจะทำให้เราพลาดในบางส่วนหรือลืมคิดในบางส่วนไป ซึ่ง AWS เขาเตรียม Cost Optimization Hub ที่เปรียบเสมือนผู้ช่วยคอยให้คำแนะนำสำหรับการทำ Cost optimization, การ Rightsizing ให้กับทรัพยากรบนระบบแอปพลิเคชันของธุรกิจเรานั่นเองครับ

Build: Tools to boost automation & developer productivity

ในส่วนนี้พูดถึงเซอร์วิสใหม่ ๆ ที่คอยอำนวยความสะดวกให้กับการออกแบบแอปพลิเคชันให้ง่ายยิ่งขึ้นครับ อาทิ

  • CodeWhisperer ที่ช่วยในการเขียน Code ได้ง่ายขึ้น

  • Console to Code ที่เหมาะzผู้ที่ยังไม่ชำนาญกับ AWS CDK เพราะ Service นี้จะช่วยในการเปลี่ยนข้อมูลจาก Console ให้เป็น Code ครับ

Run: Containers and Serverless updates

จะเป็นการอัปเดตถึงฟังก์ชันต่าง ๆ ของเซอร์วิสที่ให้บริการ Container และ Serverless ครับ

โดยในส่วนของ Container จะมีการอัปเดตเซอร์วิสจำพวก

  • ECS Runtime Monitoring ช่วยในเรื่องของการสร้างความปลอดภัยให้กับ ECS Cluster ผ่านการทำงานร่วมกับ Amazon GuardDuty

  • EKS Pod Identity จะช่วยในการสร้าง IAM สำหรับแอปที่รันบน cluster ของ Amazon EKS

ในฝั่งของ Serverless เองก็จะมีเซอร์วิสที่คุ้นชื่ออย่าง Lambda Scales ที่เร็วขึ้นอีก 12 เท่า และเพิ่มการสเกลได้มากถึง 1,000 ตัว/10วินาทีเมื่อเทียบกับฟังก์ชันก่อนที่ทำได้แค่ 500 และยังลดปัญหา noisy neighbour อีกด้วยครับ

Data Analytics & GEN AI

เนื้อหาในส่วนนี้แบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ ครับคือ Data Analytics และ GEN AI

โดยในส่วนของ Data Analytics มีการนำเสนอ Service ใหม่ ๆ อาทิ

  • Amazon RDS for Db2

  • Amazon Aurora Limitless Database ที่เน้นเรื่อง Comprehensive

  • Amazon Neptune Analytics ในฝั่งของการ Integrated

  • Amazon Redshift Serverless with AI-driven scaling and optimization ทางด้านของ Deep Learning

  • Amazon DataZone จากด้าน Governed

ในด้านของ GEN AI จะมีการแนะนำให้เรารู้จักกับ Service มากมายที่มีการนำ AI มาใช้ อาทิ

  • Amazon Bedrock ที่มีฟังก์ชันในการทำ Image Generator เช่น การทำ text-to-image alignment ที่เป็นการ generate ภาพจากการเขียน code หรือการทำ Image Customization เพื่อปรับรูปภาพให้มีรูปแบบตรงตามที่เราต้องการ

  • Amazon Q ซึ่งเป็น AI Service ที่คอยทำหน้าที่เหมือนผู้เชี่ยวชาญในการให้คำแนะนำและข้อมูลต่าง ๆ บน AWS Service และที่สำคัญเลยคือ Amazon Q มีฟังก์ชันที่จะไม่ตอบหรือเสนอข้อมูลที่เป็นความลับให้กับผู้ที่ไม่มีสิทธิ์ในการเข้าถึงอีกด้วย! เรียกได้ว่าเป็นการใช้ AI ที่คำนึงถึงเรื่อง Governance เป็นอย่างดีเลยนะครับ

Infrastructure Innovation

ในส่วนของเซสชั่นนี้จะเน้นในเรื่องของการแนะนำเครื่องมือตัวใหม่ ๆ สำหรับด้าน Infrastructure จาก AWS ครับ ซึ่งมีทั้ง Instance สำหรับการประมวลผล, Networking, Storage, Security เป็นต้นครับ

โดยในส่วนของ Instance ใหม่ ๆ จะมีอาทิ

  • Graviton 4 ที่มี Core มากกว่า Graviton 3 ถึง 50%

  • Intel-Based Instance ที่มีความโดดเด่นในด้านต่าง ๆ เช่น M7i-Flex เน้นในเรื่อง Cost optimization เป็นต้น

  • AMD-Based Instance มีความเหมาะสมสำหรับระบบที่ต้องใส่ใจเรื่องราคาเป็นพิเศษ อาทิ C7a, G4ad เป็นต้นครับ

และที่สำคัญ งานในครั้งนี้ AWS เริ่มมีการเอ่ยถึง New Region ที่กำลังจะมีในประเทศไทยบ้างแล้วนะครับ (ใคร ๆ ต่างก็รอคอยเธอ)

ก่อนจากกันไป

ขอบคุณทุกท่านมากครับที่อ่านมาจนจบ และนี่คือเนื้อหาของงาน AWS re: Invent Recap 2023 ที่ผมพยายามจะแบ่งปันให้เพื่อน ๆ ได้เห็นถึงมุมมองธุรกิจที่แฝงอยู่ในการทำงานของพวกเขาชาว AWS ต้องบอกจากใจจริงเลยครับว่าแม้ว่างานจะจัดเพียงแค่ 2 ชั่วโมงแต่ก็มีเนื้อหาที่อัดแน่นขนาดนี้ แล้วงาน AWS re: Invent ของจริงล่ะจะมีข้อมูลใหม่ ๆ ที่พรั่งพรูออกมามากขนาดไหนกัน! (พูดแล้วก็อยากหาโอกาสไปงานจริงที่ Las Vegas บ้างนะครับ แฮะๆ ^-^) พนักงานขายอย่างผมที่ยังไม่เข้าใจ AWS Cloud มากเท่าไรยังว้าวขนาดนี้ ผมว่าวิศวกรที่ศึกษา AWS อยู่น่าจะโปรดปรานงานนี้ยิ่งกว่าผมเป็นแน่เลยครับ ในท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทางทีม true IDC และ AWS ที่จัดงานดี ๆ แบบนี้ให้กับคนที่กำลังศึกษาคลาวด์อย่างผมให้เข้าใจและว้าวมากยิ่งขึ้นกับ AWS Cloud ครับ

สำหรับวันนี้ ขอพระเจ้าอวยพรทุกคนครับ ^-^