สรุปเนื้อหา Session Maximising AWS Cloud Economics: Beyond legacy migration to application modernisation ใน AWS Summit Bangkok 2025

สรุปเนื้อหา Session Maximising AWS Cloud Economics: Beyond legacy migration to application modernisation ใน AWS Summit Bangkok 2025

บทความนี้นำเสนอ 5 วิธีการโมเดิร์นไนซ์แอปพลิเคชันเมื่อย้ายขึ้น AWS Cloud เพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และความคล่องตัว ผ่านการแยกส่วนประกอบ, ใช้คอนเทนเนอร์, เลือกใช้โอเพนซอร์ส, ทำ CI/CD Pipeline และใช้บริการแบบ Serverless
Clock Icon2025.05.06

สวัสดีครับผม ต้า ครับ

วันที่ 29 เมษายน 2025 ที่ผ่านมามีงาน AWS Summit Bangkok 2025 ซึ่งผมได้เข้าร่วมงานนี้มา และนี่เป็นเนื้อหาใน Session Track 2-2 Maximising AWS Cloud Economics: Beyond legacy migration to application modernisation จะมีเนื้อหาอย่างไรเชิญรับชมได้เลยครับ

บทนำ

ปี 2025 นับเป็นปีที่ดีสำหรับองค์กรไทยที่ต้องการย้ายระบบขึ้น AWS Cloud เนื่องจาก AWS มีรีเจี้ยนในประเทศไทยแล้ว ทำให้ข้อกังวลเรื่องการเก็บข้อมูลในประเทศและความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลได้รับการแก้ไข การย้ายขึ้นคลาวด์มีข้อดีหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการทำงาน การจัดการดาต้าเซ็นเตอร์ที่ง่ายขึ้น การสร้างนวัตกรรมที่รวดเร็ว และการลดต้นทุนทั้งด้านเซิร์ฟเวอร์ พื้นที่ บุคลากร และการบำรุงรักษา

การย้ายขึ้น AWS Cloud: 3 วิธีหลัก

เมื่อพูดถึงการย้ายขึ้นคลาวด์ (Migration) มีสามวิธีหลัก(จากทั้งหมด 7R)ที่องค์กรสามารถเลือกใช้:

7-R-1024x516 (1)

  1. Rehost - การย้ายระบบแบบเดิมขึ้นคลาวด์ (Lift and Shift) โดยการโคลนเซิร์ฟเวอร์เดิมไปยัง EC2 บนคลาวด์ ทำให้ได้ระบบที่เหมือนเดิมทุกประการ
  2. Replatform - การปรับเปลี่ยนแพลตฟอร์ม เช่น การใช้คอนเทนเนอร์แทนเซิร์ฟเวอร์แบบเดิม
  3. Refactor - การเขียนแอปพลิเคชันใหม่ทั้งหมด เหมาะสำหรับแอปพลิเคชันที่ใกล้หมดอายุหรือต้องการปรับปรุงใหม่ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม การทำ Rehost อาจไม่คุ้มค่าในแง่ของต้นทุน โดยเฉพาะเมื่อใช้ Windows Server ที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า Linux อย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างเช่น เซิร์ฟเวอร์ขนาด 4 vCPU, 16 GB RAM บน Linux จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 100+ USD/เดือน ในขณะที่ Windows Server จะอยู่ที่ประมาณ 300 USD/เดือน และหากเป็น Windows Server ที่มี SQL Server Standard จะสูงถึงประมาณ 600+ USD/เดือน

5 วิธีการโมเดิร์นไนซ์แอปพลิเคชันเมื่อย้ายขึ้น AWS Cloud

1. แยกส่วนประกอบของแอปพลิเคชัน (Decompose)

แอปพลิเคชันแบบดั้งเดิมมักจะรวมทุกอย่างไว้ในเซิร์ฟเวอร์เดียว ทั้งโค้ดโปรแกรม, เซสชัน, ฐานข้อมูล และไฟล์ต่างๆ ทำให้ไม่สามารถขยายระบบได้อย่างยืดหยุ่น

Demystifying-Mainframe-Migration-5

วิธีการโมเดิร์นไนซ์:

  • แยกแอปพลิเคชันเซิร์ฟเวอร์ (เก็บโค้ดโปรแกรม)
  • แยกเซสชันเซิร์ฟเวอร์ (จัดการเซสชันผู้ใช้)
  • แยกฐานข้อมูลเซิร์ฟเวอร์ (จัดเก็บข้อมูล)
  • แยกไฟล์เซิร์ฟเวอร์ (เก็บไฟล์ เช่น รูปภาพ หรือ PDF)

การแยกส่วนประกอบทำให้สามารถขยายระบบเฉพาะส่วนที่ต้องการได้ เช่น เพิ่มจำนวนแอปพลิเคชันเซิร์ฟเวอร์เมื่อมีผู้ใช้งานมากขึ้น และลดลงเมื่อมีผู้ใช้น้อยลง

2. ใช้คอนเทนเนอร์ (Containerization)

คอนเทนเนอร์เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้แอปพลิเคชันทำงานได้ในทุกสภาพแวดล้อม คล้ายกับแนวคิด "เขียนครั้งเดียว รันได้ทุกที่" ของ Java แต่มีประสิทธิภาพมากกว่า

container-options-on-aws

ข้อดีของคอนเทนเนอร์:

  • แพ็คทุกอย่างไว้ในที่เดียว ทำให้สามารถรันได้ทุกที่ (ทั้งบนเครื่องนักพัฒนา, เซิร์ฟเวอร์ทดสอบ หรือบนคลาวด์)
  • สเกลได้ง่ายและไม่ต้องสนใจระบบปฏิบัติการที่รองรับ
  • ทีม Infrastructure และทีม Application สามารถทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น โดยใช้ Dockerfile

AWS มีบริการรองรับคอนเทนเนอร์หลายตัว เช่น:

  • Amazon ECS (Elastic Container Service)
  • Amazon EKS (Elastic Kubernetes Service)
  • AWS Fargate (Serverless Container Platform)

3. เลือกใช้โอเพนซอร์สแพลตฟอร์ม

การเลือกใช้โอเพนซอร์สแทนซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์สามารถช่วยลดต้นทุนได้อย่างมาก โดยเฉพาะฐานข้อมูล

ตัวอย่าง:

  • ใช้ Amazon Aurora (ที่ใช้ PostgreSQL หรือ MySQL) แทน Microsoft SQL Server
  • Aurora มีประสิทธิภาพดีกว่าฐานข้อมูลแบบดั้งเดิมเพราะออกแบบมาสำหรับคลาวด์ โดยเฉพาะการเขียนข้อมูลที่ทำพร้อมกันทั้ง 3 โซน ทำให้มีความน่าเชื่อถือสูง

การย้ายจาก SQL Server มาใช้ PostgreSQL สามารถทำได้โดย:

  1. โคลนฐานข้อมูลจาก SQL Server มาไว้ที่ PostgreSQL
  2. ใช้ Babelfish เป็นตัวแปลภาษาระหว่าง SQL Server และ PostgreSQL
  3. แอปพลิเคชันใหม่สามารถเชื่อมต่อกับ PostgreSQL โดยตรง

4. สร้าง CI/CD Pipeline

การทำ CI/CD Pipeline ช่วยให้การพัฒนาและการนำขึ้นระบบเป็นไปอย่างอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพ:

  • ทีม Infrastructure เขียน Dockerfile เพื่อเตรียมสภาพแวดล้อม
  • ทีม Application เขียนโค้ดและใส่ไว้ใน Git repository
  • เมื่อมีการ push โค้ด ระบบจะทำการ build image โดยใช้ Dockerfile จากทีม Infrastructure
  • ระบบจะทำการ scan ความปลอดภัย และ deploy ขึ้น AWS โดยอัตโนมัติ

ข้อดีคือไม่มีใครต้องยุ่งกับ Production โดยตรง ทุกอย่างผ่าน Pipeline ทำให้ลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นคงปลอดภัย

5. ใช้บริการแบบ Serverless และ Managed Services

AWS มีบริการแบบ Serverless และ Managed Services มากมายที่ช่วยลดภาระในการดูแลระบบ:

  • ใช้ Amazon ECS หรือ AWS Fargate สำหรับคอนเทนเนอร์
  • ใช้ Amazon Aurora สำหรับฐานข้อมูล
  • ใช้ Amazon EFS สำหรับ Network File Share
  • ใช้ Amazon S3 สำหรับเก็บไฟล์แบบ Object Storage

การใช้บริการเหล่านี้ช่วยให้ไม่ต้องจัดการเซิร์ฟเวอร์เอง ลดภาระการดูแลระบบ และทำให้ทีมสามารถโฟกัสกับการพัฒนาแอปพลิเคชันได้มากขึ้น

สรุป

การย้ายระบบขึ้น AWS Cloud ไม่ควรเป็นเพียงการย้ายระบบเดิมขึ้นไปเท่านั้น แต่ควรมีการโมเดิร์นไนซ์ด้วย เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ โดยสามารถทำได้ผ่าน 5 วิธีหลักคือ:

  1. แยกส่วนประกอบของแอปพลิเคชัน
  2. ใช้คอนเทนเนอร์
  3. เลือกใช้โอเพนซอร์สแพลตฟอร์ม
  4. สร้าง CI/CD Pipeline
  5. ใช้บริการแบบ Serverless และ Managed Services

การทำเช่นนี้จะช่วยให้องค์กรได้รับประโยชน์สูงสุดจาก AWS Cloud ทั้งในแง่ของต้นทุน ประสิทธิภาพ และความคล่องตัวในการพัฒนาระบบ

บทความที่เกี่ยวข้อง

https://aws.amazon.com/th/blogs/enterprise-strategy/new-possibilities-seven-strategies-to-accelerate-your-application-migration-to-aws/
https://aws.amazon.com/th/blogs/apn/demystifying-legacy-migration-options-to-the-aws-cloud/
https://docs.aws.amazon.com/whitepapers/latest/aws-overview/containers.html

Share this article

facebook logohatena logotwitter logo

© Classmethod, Inc. All rights reserved.