การลบไฟล์ขยะบน Windows 11 ด้วยตัวเองง่ายๆ ใครๆ ก็ทำได้
ครั้งนี้ผมมาอธิบายเกี่ยวกับ การลบไฟล์ขยะบน Windows 11 ด้วยตัวเองง่ายๆ ใครๆ ก็ทำได้ เพื่อให้คอมพิวเตอร์ของเราทำงานได้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ก่อนที่จะเริ่มทำ ให้อ่านคำเตือนและตรวจสอบความจุที่ Drive C ของเราก่อนว่าปัจจุบันนี้มีพื้นที่ที่ใช้งานไปเท่าไรและมีพื้นที่ว่างเท่าไร เพื่อที่จะได้นำมาเปรียบเทียบหลังจากทำการลบไฟล์ขยะออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราไปแล้ว
※ โปรดอ่านคำเตือน
การลบไฟล์ขยะในบทความนี้ สำหรับผู้ที่ไม่เคยทำการลบมาในระยะเวลาที่นานตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป อาจจะต้องใช้เวลาในการลบข้อมูล อย่างน้อยก็เผื่อเวลาไว้ประมาณ 30 นาที เพราะสเปคคอมพิวเตอร์ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน การใช้งานจะช้าจะเร็วก็ขึ้นอยู่กับสเปคคอมพิวเตอร์ของแต่ละคน
ในส่วนของการลบข้อมูลแนะนำให้ตรวจสอบไฟล์ใน Downloads ก่อนว่ามีไฟล์ที่ต้องเก็บไว้หรือไม่ เพราะการสาธิตครั้งนี้จะทำการลบไฟล์ใน This PC › Downloads นี้ด้วย ถ้ามีไฟล์ที่ต้องใช้งานให้นำไปเก็บไว้ที่โฟลเดอร์อื่นที่ไม่ใช่ Downloads
และให้ตรวจสอบไฟล์ที่คุณลบไปแล้วใน Recycle Bin (จริงๆ ในส่วนนี้ไม่ต้องตรวจสอบก็ได้ แต่หากคุณไม่มั่นใจให้ตรวจสอบอีกครั้ง)
ต่อไปเป็นการตรวจสอบเครื่องคอมพิวเตอร์
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่นำมาสาธิตนี้คือ Lenovo YOGA Slim 7 ที่มีแค่ Drive C เท่านั้น สามารถตรวจสอบได้ดังนี้
คลิกขวาที่Drive C
และเลือกProperties
รายละเอียดของ Storage (SSD) เครื่องนี้มีขนาดความจุทั้งหมด 475 GB ใช้ไปแล้ว 123 GB มีพื้นที่ว่าง 351 GB โดยประมาณ ซึ่งในส่วนนี้จะแสดงไม่เหมือนกัน เพราะว่าข้อมูลนี้จะแสดงตามการใช้งานของแต่ละคน และขึ้นอยู่กับขนาด SSD ของแต่ละคนด้วย
ในขณะที่ใช้งานมาจนถึงปัจจุบันนี้ก็ไม่ได้ทำการลบไฟล์ขยะออกจากเครื่องมาเป็นระยะเวลาประมาณ 5 เดือนแล้ว และนี่ก็คือโอกาสที่ผมจะมาแนะนำการลบไฟล์ขยะออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ในบทความนี้เพื่อเป็นประโยชน์ให้กับเพื่อนๆ โดยจะทำการลบไฟล์ที่ไม่จำเป็นออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราด้วย 4 วิธีดังนี้
- 1. การ Disk Cleanup ผ่าน Drive C
- 2. การลบไฟล์ Temporary ใน System Storage
- 3. การลบไฟล์ Temp ผ่าน Windows Run
- 4. การลบไฟล์ Temp และ SoftwareDistribution ใน Windows
1. การ Disk Cleanup ผ่าน Drive C
มาที่ This PC ของเรา และคลิกขวาที่Drive C
ตามด้วยเลือกProperties
(เหมือนกับขั้นตอนการตรวจสอบ Storage ด้านบนนี้เลยครับ)
จากนั้นคลิกที่Disk Cleanup
และรอระบบสแกนข้อมูลสักครู่
เมื่อขึ้นหน้า Disk Cleanup for [your_name_drive_] (C:) แล้ว
ให้คลิกที่Clean up system files
อีกครั้ง และรอระบบสแกนข้อมูลสักครู่
เมื่อระบบสแกนข้อมูลเสร็จแล้วให้ดูที่ Total amount of disk space you gain:29.5 GB
(ข้อมูลที่แสดงนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคน) ถ้าเราลบออกทั้งหมดนี้ก็จะได้พื้นที่กลับมาตามที่แสดงในหน้านี้ ส่วนใหญ่ไฟล์ขยะที่หนักๆ จะเป็น Windows Update
ทีนี้ให้ติ๊ก✅
ทั้งหมดเลยรวมไปถึงด้านล่างด้วย
คลิกOK
คลิกDelete Files
ทีนี้ก็ต้องรอให้ระบบทำการ Disk Cleanup สักครู่จนกว่าหน้าต่างนี้จะถูกปิดลงไปเองก็จะถือว่าเสร็จสมบูรณ์
หมายเหตุ: ถ้าไฟล์ที่ลบยิ่งมีขนาดใหญ่หรือมีปริมาณที่เยอะก็ต้องใช้เวลาที่นานขึ้น
2. การลบไฟล์ Temporary ใน System Storage
คลิกที่ icon ?︎ ค้นหา แล้วพิมพ์?︎ Settings
ลงในช่องตามด้วยเลือก⚙ Settings
เลือกSystem
และเลือกStorage
และรอระบบสแกนข้อมูลสักครู่
สำหรับคนที่แสดง Temporary files ในหน้านี้สามารถคลิกเข้าไปได้เลย
แต่ของใครที่ไม่แสดง Temporary files ให้คลิกShow more categories
เลือกTemporary files
(สำหรับของคนที่ไม่แสดง Temporary files เมื่อสักครู่นี้)
การลบ Temporary files ในตัวอย่างนี้คือ:
① ติ๊ก✅
Downloads (ถ้าไม่ต้องการลบก็ไม่ต้องติ๊ก✅
เพราะข้อมูลใน Download จะหายไปทั้งหมด)
② คลิกRemove files
③ คลิกContinue
จากนั้นรอให้ระบบทำการลบสักครู่
เมื่อลบเสร็จแล้วก็จะได้หน้าตาแบบนี้ (รายละเอียดต่างๆ อาจจะแสดงไม่เหมือนกันทั้งหมด)
การตั้งค่า Storage Sense
สำหรับคนที่ต้องการลบไฟล์ในส่วนของ Temporary โดยอัตโนมัติสามารถตั้งค่าได้ดังนี้
มาที่ System › Storage ตามรูปภาพ
แล้วคลิกที่Storage Sense
คลิกที่ Automatic User content cleanupOn
และเลือก Delete files in my recycle bin if they have been there for over:
Never
1 days
14 days
30 days (default)
60 days
ให้เลือกจำนวนวันที่ต้องการลบ เช่น30 days (default) ⌵
หมายเหตุ: การตั้งค่าลบไฟล์อัตโนมัตินี้จะลบแค่ในส่วนของไฟล์ Temporary เท่านั้น และไม่ต้องกังวลว่าไฟล์ที่อยู่ใน Downloads จะถูกลบออกไป เพราะว่าการลบไฟล์ใน Downloads นี้เราต้องเข้าไปติ๊ก ✅ ใน Temporary files ด้วยตัวเองทุกครั้ง หรือ เข้าไปที่โฟลเดอร์ Download และลบโดยตรงเลยนั่นเอง
3. การลบไฟล์ Temp ผ่าน Windows Run
มาที่หน้า Desktop ของเรา แล้วตรวจสอบตรงภาษาด้านล่างขวา แนะนำให้เปลี่ยนเป็นภาษาENG
(จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องอยู่หน้า Desktop ก็ได้ แต่เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานครับ)
ต่อมากดปุ่มWindows + R
พร้อมกัน แล้วจะมีหน้า Run ปรากฏขึ้นมาด้านล่างซ้าย
จากนั้นพิมพ์%tmp%
ลงไป ตามด้วยกดOK
เมื่อเข้ามาหน้า Temp แล้ว ให้ลบโดยการกดปุ่มCtrl + A
เพื่อเลือกทุกไฟล์ที่อยู่ใน Temp
จากนั้นกดปุ่มShift + Delete
เพื่อลบไฟล์แบบ Permanently หรือแบบถาวร ตามด้วยคลิกYes
ติ๊ก✅
Do this for all current items และคลิกContinue
ในส่วนนี้ไฟล์ไหนที่ไม่สามารถลบได้ก็ไม่เป็นไร ก็ให้ติ๊ก✅
Do this for all current items อีกครั้ง และคลิกSkip
ไปได้เลย
เพียงเท่านี้ก็สามารถลบไฟล์ขยะใน Temp เสร็จเรียบร้อยแล้ว
ส่วนไฟล์ที่เหลือไม่ต้องไปสนใจ ลบเท่าที่ลบได้ก็พอครับ
4. การลบไฟล์ Temp และ SoftwareDistribution ใน Windows
การลบไฟล์ Temp และ SoftwareDistribution นี้ง่ายๆ เลยครับ เพียงแค่เข้าไปตาม Path หรือเส้นทางของโฟลเดอร์ด้านล่างนี้และทำการลบเหมือนกับขั้นตอน 3. การลบไฟล์ Temp ผ่าน Windows Run ได้เลย
วิธีที่จะเข้าไปยังโฟลเดอร์ดังกล่าว เราจะคลิกเข้าไปตาม Path หรือ Copy path ไปวางในช่อง path และกด Enter ตามรูปภาพได้เลยครับ
การลบไฟล์ Temp ใน Windows
เข้าไปยัง Path Temp นี้และทำการลบดังนี้:
C:\Windows\Temp
» กดปุ่มCtrl + A
» กดปุ่มShift + Delete
ตามด้วยคลิกYes
» ติ๊ก✅
Do this for all current items และคลิกContinue
» ติ๊ก✅
Do this for all current items อีกครั้ง และคลิกSkip
(ถ้าลบไฟล์ได้หมดจะไม่มีขั้นตอนนี้)
การลบไฟล์ SoftwareDistribution ใน Windows
การลบไฟล์ SoftwareDistribution นี้เป็นโฟลเดอร์ที่เก็บในส่วนของไฟล์ Windows Update ซึ่งเราสามารถลบออกได้เลย และจะไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบ Windows นอกจากนี้ยังทำให้เราได้พื้นที่ Storage กลับมาเพิ่มขึ้นอีกด้วย
เข้าไปยัง Path SoftwareDistribution นี้และทำการลบดังนี้:
C:\Windows\SoftwareDistribution
» กดปุ่มCtrl + A
» กดปุ่มShift + Delete
ตามด้วยคลิกYes
» ติ๊ก✅
Do this for all current items และคลิกContinue
» ติ๊ก✅
Do this for all current items อีกครั้ง และคลิกSkip
(ถ้าลบไฟล์ได้หมดจะไม่มีขั้นตอนนี้)
5. เปรียบเทียบ Storage ก่อนลบและหลังลบ
ทีนี้เราลองมาดูผลลัพธ์ก่อนทำและหลังทำกันครับ ซึ่งคอมพิวเตอร์เครื่องที่ผมใช้สาธิตนี้ ก่อนทำมีพื้นที่ว่าง351 GB
และหลังทำมีพื้นที่ว่าง377 GB
ก็เท่ากับว่าผมได้พื้นที่ Storage กลับมาทั้งหมด26 GB
โดยประมาณครับ
นี่แค่ประมาณ 5 เดือนนะครับ และยิ่งคนที่ไม่เคยลบไฟล์ขยะมาเป็นปี ผมคิดว่าน่าจะได้พื้นที่ความจุกลับมามากกว่าผมหรืออาจจะพอๆ กันก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคนด้วยครับ
สรุป
การลบไฟล์ขยะบน Windows 11 จะช่วยให้คอมพิวเตอร์ของเรามีพื้นที่เก็บข้อมูลมากขึ้นและส่งผลให้คอมพิวเตอร์ของเราทำงานได้เร็วขึ้น
เมื่อใช้งานคอมพิวเตอร์แล้วก็ควรจะทำการบำรุงรักษาอยู่ตลอดเวลา เช่น การลบข้อมูลที่ไม่จำเป็นออกจากเครื่องและการตรวจสอบ Updata Windows อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยๆ เลยก็ประมาณ 1 เดือนควรจะทำ 1 ครั้ง เพื่อสุขภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา แต่ถ้าเราปล่อยให้ข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์เยอะมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะส่งผลให้คอมพิวเตอร์มีพื้นที่ความจุลดลงอย่างรวดเร็วและจะทำให้เครื่องทำงานอืด หน่วง หรือ ช้าลงนั่นเอง
การบำรุงรักษาคอมพิวเตอร์เบื้องต้นนี้ ขอเสริมเรื่อง Windows Update สักนิดนึงครับ ในส่วนนี้ก็สำคัญเหมือนกัน ในขณะที่เราไม่ได้ใช้งานคอมพิวเตอร์ เราควรจะตรวจสอบ Windows Update และทำการ Update ด้วยครับ เพราะว่าถ้าปล่อยสะสมไว้นานๆ เป็นปีโดยไม่ทำการ Update เลย ก็อาจจะทำให้มีผลกระทบกับการทำงานของระบบ Windows ได้ ที่หนักสุดที่ผมเคยเจอมาก็ถึงขั้น Windows เกิดความเสียหายจนไม่สามารถทำการ Update ได้ครับ สาเหตุการเกิดนั้นมีมากมาย เช่น ทาง Microsoft ทำการ Update ฟีเจอร์ต่างๆ ใน Windows มาใหม่และถ้าเราไม่ Update ตามก็จะทำให้ฟีเจอร์เก่าๆ ไม่รองรับกับการใช้งานในปัจจุบันจนเกิดผลกระทบในการใช้งานกับระบบ Windows นั่นเอง แต่ในกรณีนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ แต่อยากให้ป้องกันไว้ก่อนจะดีที่สุดครับ
ผมหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับเพื่อนๆ ได้ไม่มากก็น้อยครับ ขอบคุณครับ ?