AWS Cloud Day Thailand 2023: Keynote มีอะไรสำคัญที่ AWS อยากจะบอก?
เมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา จิ๋วได้มีโอกาสไปเที่ยวชมงาน AWS Cloud Day Thailand เลยถือโอกาสเอาเนื้อหาที่ประทับใจมาเขียนบล็อก หัวข้อในวันนี้จะเป็น Keynote: Transformation in motion towards a Digital Future ซึ่งบรรยายโดย Conor McNamara, Managing Director, ASEAN, AWS
AWS เป็นผู้นำในตลาดคลาวด์อย่างไร
คุณคอเนอร์ก็ได้เล่าเกี่ยวกับ AWS ในช่วงแรกไว้ว่า เป็นคลาวด์ที่มีศักยภาพเป็นอย่างมากเท่าใด ในฐานะผู้นำในตลาดคลาวด์
- มีลูกค้าที่หลากหลายกลุ่มธุรกิจ และ workload เนื้อหางานที่หลากหลาย และบริการกว่า 200 รายการเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย
-
Gartner ชี้ให้เห็นว่า AWS มีความเป็นผู้นำในตลาดคลาวด์ 12 ปี ต่อเนื่องติดต่อกัน
จุดเด่นของ AWS คือ มีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
- พื้นที่ให้บริการ และความพร้อมให้บริการของเซอร์วิส เพื่อให้เลือกใช้ได้ตามต้องการ
- 32 region, 102 Availability Zone ทั่วโลก
- มีความยืดหยุ่นสูงสุด
- ช่วยลดโอกาสหยุดทำงานแบบไม่คาดคิดได้ถึง 69%
- ช่วงเวลา downtime น้อยลง 7 เท่า
- ปลอดภัยมากที่สุด
- ใบรับรองมาตรฐานความปลอดภัย และ ข้อกำหนดสากล กว่า 143+ ใบ
AWS พลิกโฉมการแลกเปลี่ยนและตลาดทุนทั่วโลก
องค์กรสำคัญๆ ด้านการเงินของโลกก็ไว้วางใจเลือกใช้งาน AWS
- Nasdaq ย้ายระบบ trading หลักของ Nasdaq MRX ทำให้สามารถรองรับ record ที่พุ่งพรวดจาก 3 หมื่นล้าน ไปเป็น 7หมื่นล้านได้ด้วยความสามารถในการสเกลของ Amazon S3 และ Amazon Redshift
อ้างอิง : Nasdaq Case Study - SGX องค์กรแลกเปลี่ยนสินทรัพย์หลักของสิงคโปร์ ใช้งาน Amazon managed Blockchain ช่วยลดระยะเวลาธุรกรรมลงได้ถึง 60%
อ้างอิง : Singapore Exchange Case Study - SET พัฒนา LiVE Platform บน AWS ภายในระยะเวลาเพียง 8 เดือน และลูกค้าอื่นๆ
ตัวอย่างลูกค้าในไทยหลากหลายขนาดธุรกิจ
- Enterprise เช่น CPAll สร้างแอปพลิเคชัน 7-Eleven และ 7-Delivery บน AWS ใช้เวลาไม่ถึง 6 เดือน
- Mid – Enterprise เช่น JAMSAI ใช้ AWS เพื่อรองรับผู้ใช้งานเว็บไซต์พร้อมกันกว่า 5,000 คนได้อย่างสบายๆ
- SMB เช่น เจเนอรัล อิเลคทรอนิค คอมเมอร์ซ เซอร์วิสเซส ได้ใช้โปรแกรมสนับสนุน เช่น AWS Lift เพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบ หรือสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
- Software Vendors เช่น ascend money ที่ย้ายเวิร์คโหลดจาก Amazon EMR Amason ElasticSearch ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านราคาขึ้น 40% และจ่ายค่าอินสแตนซ์ถูกลง 20% ต่อตัว
- Startup เช่น FlowAccount ผู้ให้บริการโปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปออนไลน์ ใช้งาน AWS เป็นสำหรับแพลตฟอร์มโปรแกรม
- องค์กรรัฐบาล และองค์กรสาธารณะ เช่น NT หรือ บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ
เพิ่ม Localization บริการในระดับท้องที่มากขึ้น
บริการหลายรายการของ AWS ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับการใช้งานในระดับท้องถิ่นภายในประเทศไทยมากขึ้น เช่น
- Local Zones, Edge Location สำหรับการรันแอปพลิเคชันที่ต้องการลดค่า latency ให้น้อยมากๆ สามารถใช้งาน Local Zone ในประเทศไทยได้
- Amazon Connect บริการศูนย์ติดต่อลูกค้า contact center บนระบบคลาวด์
- Training การเทรนนิ่งที่เป็นภาษาไทย เช่น Skill Builder, Re/Start, AWS Academy ทั้งหมดกว่า 60 หลักสูตร
ลงทุนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับภูมิภาคอาเซียน
เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่า AWS ให้ความสำคัญกับภูมิภาคอาเซียนเป็นอย่างมาก
สร้างธุรกิจให้ทุกคนดำรงอยู่ได้ยาวนาน
ในพาร์ทนี้คุณคอเนอร์พูดถึงสิ่งที่ AWS ให้ความสำคัญอยู่ 3 เรื่องคือ
- Partner มุ่งเน้นส่งเสริมให้มี partner community ที่เข้มแข็ง ทรงพลัง
- Skills โปรแกรมเทรนนิ่งต่างๆ ในภาษาไทย และการร่วมกับ 66 มหาวิทยาลัยในไทย เพื่อสร้างนักเรียนกว่า 5,000 คน
- Sustainability ลด carbon footprint กว่า 80% เทียบกับการใช้บริการ on-premise และเป้าหมายในการปล่อยคาร์บอนทั้งหมดเป็นศูนย์ ภายในปี 2040
และในพาร์ทสุดท้ายของ Keynote เป็นการเล่าถึง Customer Journey เป็นกรณีศึกษาจากลูกค้าผู้ใช้งาน AWS จริงๆ 3 ท่าน จาก 3 บริษัท คือ SCG, เงินเทอร์โบ และ 2C2P ซึ่ง AWS เข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินธุรกิจอย่างมาก เพราะทำให้องค์กรสามารถเริ่มต้น ปรับขนาด หรือ เปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการ และการเติบโตของธุรกิจได้
สรุป
จากเนื้อหาในพาร์ทของ Keynote ก็คงจะทำให้เราเห็นภาพและเข้าใจแล้วว่า AWS มีความเป็นผู้นำในตลาดคลาวด์อย่างเร็ว และให้ความสำคัญกับภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยเป็นอย่างมาก จิ๋วคาดเดาว่า ในเร็วๆนี้ จะต้องมีข่าวดีเรื่องรีเจี้ยนในประเทศไทย และการเติบโตของ AWS เป็นอย่างมากแน่นอนค่ะ