Amazon CloudFront เปิดตัวแพ็กเกจแบบเหมาจ่ายแล้ว
เมื่อไม่กี่วันก่อนมีการประกาศว่า Amazon CloudFront ได้เพิ่มแนวคิดเรื่องแผนค่าบริการแบบเหมาจ่ายเข้ามาแล้ว
ก่อนหน้านี้มีเพียงรูปแบบการคิดค่าบริการตามปริมาณการใช้งาน (Pay‑as‑you‑go) ขึ้นอยู่กับจำนวนคำขอและปริมาณข้อมูลที่ส่งออก แต่ตอนนี้สามารถเลือกใช้แผนค่าบริการแบบเหมาจ่าย (Fixed‑rate / Flat‑rate) ได้แล้ว
ก่อนอื่นขอสรุปภาพรวมของแต่ละแผนค่าบริการ และการเปลี่ยนแปลงต่างๆ บนหน้า AWS Management Console ให้ดูก่อน
แผนราคา
หน้า Pricing มีการอัปเดตเรียบร้อยแล้ว
ก่อนอื่น ในแผนแบบเหมาจ่ายสามารถเลือกได้จาก 4 แผนดังนี้
- Free (0 USD/เดือน)
- Pro (15 USD/เดือน)
- Business (200 USD/เดือน)
- Premium (1,000 USD/เดือน)
ตามหน้า Pricing แม้ว่าใน Ducoment ทางการของ AWS จะไม่ได้ระบุไว้ แต่ดูเหมือนว่าจะมี Custom pricing ซึ่งสามารถขอปรึกษา AWS เป็นกรณีพิเศษได้ด้วย
ความแตกต่างระหว่างแผนแบบเหมาจ่ายและแบบคิดตามการใช้งาน (Pay-as-you-go) อย่างแรกคือแต่ละแผนจะกำหนดขีดจำกัดการใช้งานของ Request และ Data transfer เอาไว้
ในแผน Free จะมีขีดจำกัดที่ 1 ล้าน Request/100GB ส่วนแผน Pro จะมีขีดจำกัดที่ 10 ล้าน Request/50TB
ว่าแต่สามารถใช้ 50TB ได้ในราคา 15 USD จริงเหรอ?
นอกจากนี้แต่ละแผนยังมีฟีเจอร์เพิ่มเติมที่แตกต่างกัน
เช่น Origin Failover ใช้ได้เฉพาะแผน Premium
นอกจากนี้ VPC Origin ใช้ได้ตั้งแต่แผน Business ขึ้นไป
แผน Free จะใช้ WAF rule ได้ 5 rule เท่านั้น และ Managed rules ก็มีข้อจำกัด ขณะที่แผน Pro ขึ้นไปสามารถใช้ rule เพิ่มเติมได้มากขึ้น
ส่วนแผน Pay-as-you-go แบบเดิมก็ยังคงสามารถใช้งานได้ และมีหน้า Pricing แยกต่างหาก
ตามหน้า AWS Management Console ระบุว่า ควรเลือกแผน Pay-as-you-go ในกรณีต่อไปนี้
- กรณีที่ใช้งานเกิน 50TB/เดือน หรือเกิน 500 ล้าน Request
- กรณีที่ต้องการควบคุมการเลือกฟีเจอร์อย่างละเอียด
- กรณีที่ข้อจำกัดต่างๆ ส่งผลกระทบต่อการใช้งานของคุณ
ข้อจำกัด
ตามที่ระบุไว้ใน Document ทางการของ AWS บางฟีเจอร์จะไม่รองรับเมื่อใช้แผนราคาแบบเหมาจ่าย ดังนั้นควรตรวจสอบให้ดีก่อนใช้งาน
หากใช้งานเกินขีดจำกัดจะเกิดอะไรขึ้น?
จุดที่หลายคนน่าจะสงสัยมากที่สุดคือเรื่องนี้
หากใช้งานเกินขีดจำกัด จะเกิดอะไรขึ้น? บริการจะหยุดไหม? หรือจะมีค่าใช้จ่ายเกินกำหนดหรือไม่?
มีข้อมูลระบุไว้ในเอกสารทางการดังนี้
ก่อนอื่น แม้ว่าแต่ละแผนจะมีขีดจำกัดการใช้งาน แต่เมื่อการใช้งานถึง 50%, 80% และ 100% ของเพดาน ระบบจะส่งอีเมลแจ้งเตือนโดยอัตโนมัติ
และแม้การใช้งานจะเกินขีดจำกัด ก็จะไม่มีการคิดค่าใช้จ่ายเกินกำหนด
ซึ่งช่วยให้มั่นใจได้แม้มีปริมาณทราฟฟิกพุ่งขึ้นอย่างไม่คาดคิดหรือเกิดการโจมตี
อย่างไรก็ตาม ในเอกสารยังระบุไว้ว่าเมื่อใช้งานเกินขีดจำกัดของแผนแบบเหมาจ่าย AWS อาจดำเนินมาตรการที่เหมาะสม
ซึ่งอาจหมายถึงการทำ throttling ทำให้ประสิทธิภาพลดลง หรืออาจแนะนำให้เปลี่ยนแผนที่เหมาะสมกว่า
ดังนั้นควรตรวจสอบการใช้งานและอัปเกรดแผนให้เหมาะสม แต่ก็ดูเหมือนว่า AWS จะยังยอมให้มี burst แบบไม่คาดคิดได้ระดับหนึ่งอยู่เหมือนกันนะ
AWS Management Console
หน้า AWS Management Console ก็มีการเปลี่ยนแปลงหลายส่วนเช่นกัน เดี๋ยวมาลองดูกัน
เมื่อเข้าใช้งานครั้งแรก จะมีหน้าจอแบบนี้แสดงขึ้นมาบนคอนโซลทันที
มาลองสร้าง Distribution ใหม่กันดู โดยจะเริ่มจากการเลือก Plan ก่อน
คำอธิบายของแต่ละแผนก็เป็นไปตามที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ แต่ถ้าต้องการเลือกแผนแบบคิดตามการใช้งาน (Pay as you go) ให้เลือกตัวเลือกด้านล่างนี้
เมื่อเลือกแผนแบบเหมาจ่าย Free จะไม่สามารถเลือกใช้ VPC Origin ได้
นอกจากนี้ ในส่วนของการตั้งค่า Security จะไม่สามารถแนบ Web ACL ที่มีอยู่แล้วได้
ในหน้าจอนี้เราจะต้องกำหนดค่าขั้นต่ำที่จำเป็นก่อน และตัวเลือกต่างๆ ที่ใช้ได้ก็จะแตกต่างกันไปตามแผนที่เลือก
สำหรับกรณีที่สร้างด้วยแผนแบบเหมาจ่าย CloudFront จะสร้าง Web ACL ให้โดยอัตโนมัติ
ซึ่ง Web ACL นี้เป็นแบบพิเศษที่ถูกจัดการโดย CloudFront โดยเฉพาะ
ตัวอย่างเช่น ในแผน Free จะไม่สามารถเลือกใช้ SQL Injection Managed Rules ได้ และคิดว่าจำนวน rule สูงสุดก็จำกัดไว้ที่ 5 rule ซึ่งการปรับแต่ง Web ACL บางอย่างก็ถูกจำกัดตามแผนที่ใช้
สำหรับแผนแบบ Pay as you go สามารถแนบ Web ACL ได้ตามปกติ และยังสามารถปรับแต่งการตั้งค่าต่างๆ ได้อย่างอิสระด้วย
ในหน้า Review ก่อน Create จะแสดงราคาแผนที่เลือกและยอดประมาณการใช้งานของเดือนปัจจุบัน จากที่เห็นดูเหมือนว่าหากเริ่มใช้งานแผนกลางเดือน ระบบจะคำนวณค่าใช้บริการแบบรายวันจนถึงสิ้นเดือนด้วย
หลังจากสร้างเสร็จแล้ว ตอนนี้สามารถเห็นแผนที่ใช้งานได้ในหน้าจอ Distribution เพราะมีการแสดงคอลัมน์ Pricing plan ให้ตรวจสอบได้โดยตรง
การเปลี่ยนแผน
สำหรับแผนแบบ Pay as you go สามารถเปลี่ยนไปใช้แผนแบบเหมาจ่ายได้จากเมนูนี้
นอกจากนี้ ยังสามารถเปลี่ยนแผนภายในกลุ่มแผนแบบเหมาจ่ายได้เช่นกัน
และสำหรับแผนแบบเหมาจ่าย จะสามารถตรวจสอบได้ด้วยว่าใช้ทรัพยากรไปเท่าไรเมื่อเทียบกับขีดจำกัดของการใช้งานด้านล่างนี้
อย่างไรก็ตาม ภายในเดือนเดียวกันจะไม่สามารถเปลี่ยนจากแผนแบบเหมาจ่ายกลับไปเป็นแผน Pay as you go ได้ เพราะไม่มีตัวเลือก Pay as you go ให้เลือก
ซึ่งตามที่อธิบายต่อจากนี้ จะต้องทำการยกเลิกแผนแบบเหมาจ่ายก่อนจึงจะสามารถกลับไปใช้แผน Pay as you go ได้
การยกเลิก Plan และการลบ Distribution
สำหรับ Distribution ที่ใช้แผนแบบเหมาจ่ายจะไม่สามารถลบได้ หากพยายามลบจะเกิดข้อผิดพลาดดังตัวอย่างนี้
ถ้าเช่นนั้นต้องทำอย่างไร? ขั้นแรกจำเป็นต้องทำการยกเลิกแผนแบบเหมาจ่ายก่อน
เมื่อยกเลิกแผนแบบเหมาจ่ายแล้ว จะสามารถย้ายกลับไปใช้แผนแบบ Pay as you go ได้ตั้งแต่เดือนถัดไป โดยจนถึงสิ้นเดือนปัจจุบันยังคงคิดค่าบริการตามแผนแบบเหมาจ่ายที่ใช้อยู่
วิธีเปลี่ยน Plan คือ ให้เข้าไปที่หน้าจอ Distribution แล้วคลิก "Manage plan" แล้วเลือก "Cancel plan" ตามที่เห็นในภาพนี้
เมื่อทำตามนี้แล้ว ระบบจะตั้งการยกเลิกแผนไว้ล่วงหน้า และดูเหมือนว่าตั้งแต่เดือนถัดไป Distribution จะถูกสลับไปใช้แผน Pay as you go โดยอัตโนมัติ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานี้ก็ยังไม่สามารถลบ Distribution ได้อยู่ดี และจำเป็นต้องรอจนกว่าแผนจะถูกสลับไปเป็นแบบ Pay as you go ในเดือนถัดไปก่อน จึงจะสามารถลบได้
AWS Pricing Calculator
สามารถคำนวณค่าใช้จ่ายของ CloudFront ด้วย AWS Pricing Calculator ได้ด้วยนะ
ตอนนี้มีการเพิ่มแผนแบบเหมาจ่ายเข้ามาแล้วเช่นกัน เพียงเลือก Flat‑rate แล้วใส่จำนวน Distribution ตามแต่ละแผนที่ต้องการ ง่ายมาก
สุดท้ายนี้
วันนี้ได้ลองสำรวจแผนแบบเหมาจ่ายที่เพิ่งเปิดตัวใน Amazon CloudFront โดยเช็กรายละเอียดของแผน พร้อมทั้งลองสร้างและลบ Distribution จริงๆ ดูแล้ว
จากการคำนวณคร่าวๆ แล้ว หากพิจารณาแค่จำนวน request และปริมาณ data transfer ถือว่าสามารถใช้งานได้ในราคาที่ถูกมาก
แม้ว่าจะมีบางฟีเจอร์ที่ไม่สามารถตั้งค่าได้หรือทำให้ปรับแต่งได้น้อยลง แต่หากสามารถยอมรับข้อจำกัดเหล่านั้นได้ ก็ดูเป็นแผนที่น่าพิจารณาใช้งานอย่างมาก
บทความต้นฉบับ
แปลโดย: POP (Tinnakorn Maneewong) จากบริษัท Classmethod (Thailand) ครับ !
