AWS Summit Bangkok 2025: แนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยสำหรับแอปพลิเคชันแบบ Serverless

AWS Summit Bangkok 2025: แนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยสำหรับแอปพลิเคชันแบบ Serverless

เรียนรู้แนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยสำหรับแอปพลิเคชันบน AWS โดยเน้นการใช้ Serverless เพื่อเร่งนวัตกรรมอย่างปลอดภัย ครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบระบบ การจัดการสิทธิ์ การเข้ารหัสข้อมูล ไปจนถึงการตรวจสอบและตอบสนองอัตโนมัติ พร้อมกรณีศึกษาจาก Social+ ที่พิสูจน์ว่า Serverless ช่วยเพิ่มความเร็ว ความปลอดภัย และประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกัน

ครั้งนี้จะมาแนะนำเซสชัน "Security best practices for serverless application" ที่ได้เข้าร่วมมาเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2025 ที่ผ่านมา โดยจะสรุปประเด็นสำคัญในบทความนี้
ai_serverless

แนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยสำหรับแอปพลิเคชันแบบ Serverless

การพัฒนาแอปพลิเคชันแบบ Serverless กำลังกลายเป็นแนวทางหลักในการสร้างนวัตกรรมอย่างรวดเร็วและปลอดภัย โดย AWS ได้แนะนำแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practices) เพื่อให้มั่นใจว่าแอปพลิเคชันของคุณจะปลอดภัยตั้งแต่ต้นจนจบ ในบทความนี้จะสรุปแนวคิดสำคัญจากเนื้อหาทั้ง 7 ส่วน

1. Serverless คือกลยุทธ์ ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี

Serverless ไม่ได้เป็นเพียงแค่รูปแบบของการพัฒนาเท่านั้น แต่เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้ทีมพัฒนาสามารถโฟกัสกับการสร้างคุณค่าให้กับลูกค้า โดยลดภาระงานที่ไม่จำเป็น เช่น การดูแลโครงสร้างพื้นฐาน
ai-security-serverless-1

แนวทางด้านความปลอดภัยที่เปลี่ยนไปเมื่อใช้ Serverless:

  • บริการมีลักษณะชั่วคราว (Ephemeral)
  • แอปพลิเคชันมีขอบเขตความปลอดภัยที่กระจาย (Diffused Perimeter)
  • ใช้การควบคุมสิทธิ์แบบละเอียด (Fine-grained access control) ผ่าน AWS IAM
  • ต้องใช้เครื่องมือและ Artifact ที่เหมาะสม

สิ่งที่ยังคงเหมือนเดิม:

  • ต้องปกป้องข้อมูล
  • เขียนโค้ดคุณภาพสูง
  • ปฏิบัติตามหลัก Least Privilege

ความปลอดภัยเป็นความร่วมมือระหว่างทีมต่างๆ:

  • ทีม Security
  • ทีม Platform
  • ทีม Development

ai-security-serverless-2
ai-security-serverless-3

2. ป้องกันการโจมตีแบบ Injection

การโจมตีแบบ Injection เป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่พบบ่อยที่สุดในการพัฒนาแอปพลิเคชัน โดยเฉพาะในระบบที่รับข้อมูลจากผู้ใช้หรือระบบภายนอก เช่น API หรือ Event-driven Architecture การป้องกันการโจมตีประเภทนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาในทุกขั้นตอนของการออกแบบระบบ โดยสามารถใช้แนวทางต่างๆ ดังนี้

ตรวจสอบข้อมูลที่รับเข้ามาใน API Gateway

การตรวจสอบข้อมูล (Input Validation) ก่อนที่จะยอมรับคำขอ (API Request) เป็นแนวทางแรกในการป้องกันการโจมตีแบบ Injection โดยเฉพาะเมื่อใช้ Amazon API Gateway ซึ่งสามารถกำหนดโมเดลของ Payload เพื่อควบคุมรูปแบบข้อมูลที่ยอมรับได้

รูปแบบการกำหนดค่าที่สามารถเลือกใช้ได้มี 3 แบบ:

  • ตรวจสอบเฉพาะ Body
  • ตรวจสอบ Query String Parameters และ Headers
  • ตรวจสอบทั้ง Body, Query String Parameters และ Headers

การกำหนด Schema อย่างชัดเจน เช่น การใช้ JSON Schema เพื่อระบุชนิดข้อมูลและรูปแบบที่ถูกต้อง จะช่วยลดความเสี่ยงจากข้อมูลที่ไม่ปลอดภัย
ai-security-serverless-injection-1

ใช้ AWS WAF เพื่อป้องกัน API Endpoint

AWS Web Application Firewall (WAF) เป็นเครื่องมือที่ช่วยป้องกัน API Endpoint จากการโจมตีทั่วไป เช่น SQL Injection หรือ Cross-site Scripting (XSS) โดยใช้กฎ (Rules) ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า หรือสามารถกำหนดเองได้

คุณสมบัติเด่นของ AWS WAF:

  • ใช้ Managed Rules ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการโจมตีตามรายการ OWASP Top 10
  • รองรับการกำหนด Custom Rules หรือใช้ Third-party Rules
  • ตรวจสอบ HTTP Request อย่างละเอียด

การใช้ WAF ควบคู่กับ API Gateway จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบโดยรวม
ai-security-serverless-injection-2

ตรวจสอบ Payload ใน AWS Lambda

ในกรณีที่ใช้ AWS Lambda เพื่อประมวลผล Event ต่างๆ การตรวจสอบข้อมูลก่อนการประมวลผลเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลมาจาก API หรือแหล่งภายนอก

แนวทางที่แนะนำ:

  • ตรวจสอบข้อมูลก่อนการ Parsing
  • ใช้ Strict Typing เพื่อจำกัดชนิดของข้อมูลที่ยอมรับ
  • ใช้ Schema Validation เพื่อกำหนดข้อจำกัดเพิ่มเติม เช่น ความยาว รูปแบบ หรือชนิดข้อมูล
  • พิจารณาการตรวจสอบข้อมูลจากทุก Event Source ไม่ใช่แค่ API เท่านั้น

การใช้ Library เช่น aws-lambda-powertools สำหรับการ Validate Schema จะช่วยให้โค้ดมีความปลอดภัยและเชื่อถือได้มากขึ้น
ai-security-serverless-injection-3

3. หลักการ "Stick to Least Privilege" เพื่อความปลอดภัยในระบบ Cloud

หนึ่งในแนวทางสำคัญที่ผู้พัฒนาและผู้ดูแลระบบ Cloud ควรยึดถือคือหลักการ "Least Privilege" หรือการให้สิทธิ์น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น (Least Privilege Principle) ซึ่งเป็นแนวทางที่ช่วยลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจากการเข้าถึงทรัพยากรโดยไม่ได้รับอนุญาต

แนวคิดของ Least Privilege คืออะไร?

Least Privilege คือหลักการที่กำหนดให้ผู้ใช้งาน ระบบ หรือบริการต่าง ๆ ได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงเฉพาะสิ่งที่จำเป็นต่อการทำงานเท่านั้น ไม่มากไปกว่านั้น

ตัวอย่างเช่น หาก Lambda Function หนึ่งจำเป็นต้องอ่านข้อมูลจาก S3 Bucket เพียงอย่างเดียว ก็ควรได้รับสิทธิ์เฉพาะ s3:GetObject เท่านั้น ไม่ควรได้รับสิทธิ์ s3:PutObject หรือ s3:DeleteObject
ai_serverless-least_privilege-5

ทำไมต้องยึดหลัก Least Privilege?

  • ลดความเสี่ยงจากการโจมตี (Attack Surface)
    หากมีการเจาะระบบหรือการใช้สิทธิ์โดยมิชอบ ความเสียหายจะถูกจำกัดให้น้อยที่สุด
  • ป้องกันความผิดพลาดจากมนุษย์ (Human Error)
    การให้สิทธิ์เกินความจำเป็นอาจทำให้เกิดการลบหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยไม่ตั้งใจ
  • ช่วยในการตรวจสอบและควบคุม (Audit & Compliance)
    การกำหนดสิทธิ์อย่างเหมาะสมช่วยให้การตรวจสอบระบบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างการนำไปใช้ใน AWS

ai_serverless-least_privilege-4
ในระบบของ AWS การใช้หลัก Least Privilege สามารถทำได้ผ่านการกำหนด IAM Policies ที่เฉพาะเจาะจง เช่น:

  • ใช้ IAM Role ที่มีสิทธิ์จำกัดเฉพาะบริการที่ต้องใช้งาน
    ai_serverless-least_privilege-1
  • ใช้ Permission Boundaries เพื่อควบคุมขอบเขตของสิทธิ์ที่สามารถมอบให้ได้
    ai_serverless-least_privilege-2
  • ใช้ Service Control Policies (SCPs) เพื่อควบคุมสิทธิ์ในระดับองค์กร
    ai_serverless-least_privilege-3

4. อนุญาตเฉพาะ Request ที่ได้รับการ Authorized เท่านั้น

หนึ่งในแนวทางสำคัญในการออกแบบระบบที่ปลอดภัยบนคลาวด์คือการ “อนุญาตเฉพาะคำขอที่ได้รับสิทธิ์ (Allow only authorized requests)” ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของการรักษาความปลอดภัยในระดับ API และบริการ backend โดยเฉพาะเมื่อใช้งานบนแพลตฟอร์มอย่าง AWS

ย้ายการตรวจสอบสิทธิ์ของ End-user ไปไว้ที่จุดเริ่มต้นของระบบ (Front Door)

การจัดการการอนุญาต (Authorization) ของผู้ใช้งานตั้งแต่จุดเริ่มต้นของระบบ หรือที่เรียกว่า “Front Door” เช่น Amazon API Gateway เป็นแนวทางที่ช่วยให้ระบบมีความปลอดภัยและมีโครงสร้างที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยมีรายละเอียดที่สำคัญดังนี้
ai_serverless-authorized_requests

Simplify development with shared functionality
การจัดการ Authorization ควรถูกแยกออกจาก Business Logic เพื่อให้ทีมพัฒนาไม่ต้องรับภาระในการจัดการสิทธิ์ผู้ใช้โดยตรง ซึ่งสามารถทำได้โดย:

  • ใช้ทีมเฉพาะทางในการพัฒนาและดูแลระบบ Authorization
  • รองรับการใช้งานร่วมกับระบบ Authorization หลากหลาย เช่น:
    • Custom Lambda Authorizer
    • AWS IAM
    • OIDC (OpenID Connect)
    • Amazon Cognito

Separate concerns from business logic
การแยกความรับผิดชอบของ Authorization ออกจาก Business Logic ช่วยให้โค้ดมีความสะอาด (clean code) และง่ายต่อการดูแลรักษาในระยะยาว อีกทั้งยังช่วยให้สามารถเปลี่ยนแปลงระบบ Authorization ได้โดยไม่กระทบกับฟังก์ชันหลักของแอปพลิเคชัน

ตัวอย่างการทำงานของระบบ Authorization

การทำงานของระบบ Authorization มีดังนี้:

  1. ผู้ใช้ส่งคำขอผ่าน Amazon API Gateway
  2. API Gateway จะตรวจสอบสิทธิ์ผ่าน Lambda Authorizer หรือ Amazon Cognito
  3. หากคำขอได้รับอนุญาต ระบบจะส่งต่อไปยัง AWS Lambda Function
  4. Lambda จะประมวลผลและเชื่อมต่อกับ Amazon DynamoDB Table เพื่อจัดการข้อมูล

ความรับผิดชอบของแต่ละทีม

ในภาพยังแสดงให้เห็นถึงการแบ่งความรับผิดชอบ (Responsibility) ระหว่างทีมต่างๆ:

  • Security
  • Platform
  • Development

การแบ่งหน้าที่อย่างชัดเจนนี้ช่วยให้การพัฒนาและดูแลระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดความเสี่ยงจากข้อผิดพลาดด้านความปลอดภัย

5. ป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตและการเปิดเผยข้อมูลสำคัญโดยไม่ตั้งใจ

หนึ่งในแนวทางสำคัญในการรักษาความปลอดภัยของระบบ Cloud คือการป้องกันไม่ให้เกิดการเข้าถึงข้อมูลหรือระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงการหลุดรั่วของข้อมูลสำคัญ (Sensitive Data Exposure) ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากการตั้งค่าที่ไม่รัดกุม หรือการส่งข้อมูลผ่านช่องทางที่ไม่ปลอดภัย

ในส่วนนี้ เราจะพูดถึงแนวทางหลัก 3 ประการที่ช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าว ได้แก่ การเข้ารหัสข้อมูล (Encryption), การใช้ Private Endpoints และการป้องกัน API ด้วย AWS WAF

เข้ารหัสข้อมูลที่จัดเก็บ (Encrypt Data at Rest)

การเข้ารหัสข้อมูลที่จัดเก็บ (Data at Rest) เป็นแนวทางพื้นฐานที่ช่วยป้องกันไม่ให้ข้อมูลถูกเข้าถึงหรืออ่านได้ แม้ในกรณีที่ระบบถูกเจาะ โดย AWS แนะนำให้ใช้ AWS KMS (Key Management Service) และ CMK (Customer Master Key) ในหลายจุดของระบบ เช่น:

  • Environment variables และ zip packaging ใน Lambda
  • Caching ที่ใช้ร่วมกับ API Gateway
  • State machine definitions และ activities
  • ข้อความที่จัดเก็บ (Stored messages) และข้อความที่รับเข้ามา (Received messages)
  • Event จากลูกค้าและพาร์ทเนอร์ รวมถึง Pipes

ai_serverless-prevent-1

ใช้ Private Endpoints เมื่อเหมาะสม

การใช้ Private Endpoints ผ่านบริการอย่าง AWS PrivateLink ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างระบบต่างๆ ภายใน VPC เป็นแบบส่วนตัว ไม่ต้องผ่านอินเทอร์เน็ตสาธารณะ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกดักฟังหรือโจมตีจากภายนอก

ในตัวอย่างนี้ การเชื่อมต่อจาก Client ไปยัง Amazon API Gateway จะผ่าน Interface VPC Endpoint และ AWS PrivateLink เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลไม่รั่วไหลออกนอกเครือข่ายที่ควบคุมได้
ai_serverless-prevent-2

ป้องกัน API Endpoints ด้วย AWS WAF

AWS WAF (Web Application Firewall) เป็นเครื่องมือที่ช่วยป้องกัน API จากการโจมตีที่มาจาก IP ที่ไม่พึงประสงค์ หรือพฤติกรรมที่ผิดปกติ โดยสามารถตั้งค่ากฎ (Rules) ได้หลายรูปแบบ เช่น:

  • บล็อก IP ที่เป็นอันตราย
  • Rate-based rules เพื่อจำกัดจำนวน Request
  • Allow/Deny lists ตาม IP หรือภูมิภาค
  • Custom rules ที่ใช้ Regular Expressions
  • ใช้กฎจาก Third-party หรือ Customer-managed rules
  • การใช้ WAF ร่วมกับ Amazon API Gateway ช่วยให้สามารถควบคุมการเข้าถึง API ได้อย่างละเอียดและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

ai_serverless-prevent-3

6. ข้อควรพิจารณาด้านแพลตฟอร์ม

เมื่อพัฒนาและใช้งานระบบบน AWS หรือ Cloud Platform ใด ๆ ก็ตาม การออกแบบและบริหารจัดการแพลตฟอร์มอย่างรอบคอบถือเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ระบบมีความปลอดภัย ยืดหยุ่น และสามารถตรวจสอบได้ง่าย ในส่วนนี้เราจะพูดถึงแนวทางปฏิบัติที่ควรพิจารณาในระดับ Platform ซึ่งครอบคลุมทั้งการจัดการ AWS Account, การวิเคราะห์โค้ด, การตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ และการตรวจสอบความปลอดภัยโดยรวม

ใช้ AWS Account เป็นขอบเขตของทรัพยากร

การแยกสภาพแวดล้อม (Environment) เช่น Development (DEV) และ Production (PROD) ออกจากกันโดยใช้ AWS Account ที่แยกกัน เป็นแนวทางที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการเข้าถึงหรือเปลี่ยนแปลงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต

  • ปฏิเสธสิทธิ์ (Deny Permissions) สำหรับการ Deploy โดยตรงไปยัง Production
  • ใช้ระบบอัตโนมัติ เช่น CI/CD Pipeline ในการ Build และ Deploy โค้ด
  • ช่วยให้สามารถควบคุมการเข้าถึงและตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายขึ้น

ai_serverless-platform-1

วิเคราะห์ Source Code และ Dependencies ด้วย Amazon Inspector

Amazon Inspector เป็นบริการที่ช่วยวิเคราะห์ช่องโหว่ใน Source Code และ Dependencies โดยอัตโนมัติ เช่น ตรวจพบว่าใช้ Library ที่มีช่องโหว่ (Vulnerable Dependency) ซึ่งอาจนำไปสู่การโจมตีได้

  • ตรวจสอบโค้ดใน Lambda Function
  • วิเคราะห์ Dependencies เช่น boto3, requests
  • แจ้งเตือนเมื่อพบเวอร์ชันที่มีความเสี่ยง

ai_serverless-platform-2

ตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติขณะรันด้วย Amazon GuardDuty

Amazon GuardDuty ช่วยตรวจจับพฤติกรรมที่ผิดปกติ (Runtime Anomalies) จากข้อมูลใน VPC Flow Logs โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าระบบเดิม

  • ตรวจจับการเข้าถึงที่น่าสงสัย
  • วิเคราะห์บริบทของเหตุการณ์ (Contextual Findings)
  • รองรับทั้ง Lambda ที่อยู่ใน VPC และนอก VPC

ai_serverless-platform-3

ตรวจสอบสถานะความปลอดภัยด้วย AWS Security Hub

AWS Security Hub รวมข้อมูลด้านความปลอดภัยจากหลายแหล่งในระบบ AWS และแสดงผลในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เช่น:

  • รายงานช่องโหว่ของซอฟต์แวร์ (Software Vulnerabilities)
  • แสดงทรัพยากรที่มีความเสี่ยงสูง เช่น S3 Buckets, EC2 Instances, Lambda Functions
  • จัดลำดับความสำคัญของปัญหา (Critical, High, Medium, etc.)

ai_serverless-platform-4

7. เร่งนวัตกรรมอย่างปลอดภัยด้วย Serverless

การใช้สถาปัตยกรรมแบบ Serverless ช่วยให้องค์กรสามารถพัฒนาและส่งมอบฟีเจอร์ใหม่ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมผสานความปลอดภัยเข้าไปในทุกขั้นตอนของการพัฒนา ตั้งแต่วันแรก (Day-1) ไปจนถึงการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง (Day-2) โดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพหรือความคล่องตัวของทีม
ai_serverless-securely-1

กรณีศึกษา: Social+

Social+ เป็นตัวอย่างของบริษัทที่ใช้ Serverless เพื่อสร้างและขยายระบบ community ภายในแอปได้อย่างรวดเร็ว พร้อมสร้างรายได้ผ่านฟีเจอร์ในแอป เช่น in-app subscriptions และ embedded commerce
ai_serverless-securely-2

ความปลอดภัยที่ผสานตั้งแต่วันแรก (Security Integrated from Day-1)

ตั้งแต่เริ่มต้นการพัฒนา ระบบถูกออกแบบให้มีการผสานความปลอดภัยเข้าไปใน pipeline โดยอัตโนมัติ เช่น การตรวจสอบโค้ดใน source repository และการทำ CI validation เพื่อให้มั่นใจว่าฟีเจอร์ที่พัฒนามีความปลอดภัยตั้งแต่ต้นทาง
ai_serverless-securely-3

การดำเนินงานด้านความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง (Continuous Day-2 Security Operations)

หลังจากระบบถูก deploy แล้ว ความปลอดภัยยังคงต้องดำเนินต่อเนื่อง โดยใช้เครื่องมืออย่าง AWS WAF, Amazon API Gateway, OpenSearch และ Grafana ในการมอนิเตอร์และวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อค้นหาพฤติกรรมที่ผิดปกติ
ai_serverless-securely-4

โอกาสทางธุรกิจจาก AI และการสร้างรายได้

ระบบยังสามารถใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เช่น topic analysis และ content insights รวมถึงเปิดโอกาสในการสร้างรายได้ผ่าน in-app subscriptions และการเชื่อมต่อกับพาร์ทเนอร์ด้านการชำระเงิน
ai_serverless-securely-5

การขยายสู่ระดับโลกและการปฏิบัติตามข้อกำหนด

Social+ มีการขยายระบบไปยังหลายภูมิภาคทั่วโลก พร้อมปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวในแต่ละภูมิภาค เช่น GDPR และมาตรฐานท้องถิ่นอื่นๆ
ai_serverless-securely-6

การตรวจสอบความปลอดภัยแบบรวมศูนย์

ระบบความปลอดภัยถูกรวมศูนย์ผ่าน AWS Config, Security Hub, EventBridge และ SIEM เพื่อให้สามารถตรวจจับและตอบสนองต่อเหตุการณ์ความปลอดภัยได้แบบอัตโนมัติ เช่น การแจ้งเตือนและการแก้ไขปัญหาโดยอัตโนมัติ
ai_serverless-securely-7

การย้ายจาก Kubernetes ไปยัง Serverless

Social+ ได้ย้าย workload จาก Kubernetes มาสู่ AWS Serverless เพื่อเพิ่มความเร็วในการพัฒนา ลดต้นทุนการดำเนินงาน และเพิ่มความสามารถในการปรับขนาดระบบแบบอัตโนมัติ
ai_serverless-securely-8

ประโยชน์ที่พิสูจน์ได้จาก Social+

  • Faster Innovation: ส่งมอบฟีเจอร์ได้เร็วขึ้น 75%
  • Enhanced Security: ลดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยจากการออกแบบระบบ
  • Improved Collaboration: เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันของทีม
    ai_serverless-securely-9

หลักการสำคัญของ Serverless Security

เพื่อให้การใช้งาน Serverless มีความปลอดภัยสูงสุด ควรยึดหลักการดังนี้:

  1. Implement least privilege – ใช้สิทธิ์เท่าที่จำเป็น โดยเฉพาะผ่าน AWS IAM
  2. Apply defense in depth – สร้างชั้นการป้องกันหลายระดับ
  3. Leverage deep integrations – ใช้การเชื่อมต่อกับบริการ AWS อื่น ๆ อย่างลึกซึ้ง
  4. Automate security – ทำให้การป้องกันและควบคุมความปลอดภัยเป็นแบบอัตโนมัติ
    ai_serverless-securely-10

Key Takeaways

  • Security as a Strategy: ความปลอดภัยต้องถูกออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ ไม่ใช่แค่การป้องกันภายหลัง
  • Security Integrated from Day-1: ผสานความปลอดภัยเข้าไปในขั้นตอนการพัฒนา เช่น pipeline, source repository และ CI/CD
  • Continuous Day-2 Security: ใช้เครื่องมืออย่าง AWS WAF, API Gateway, OpenSearch และ Grafana เพื่อมอนิเตอร์ระบบอย่างต่อเนื่อง
  • Data Protection: เข้ารหัสข้อมูลที่จัดเก็บ (Encrypt data at rest) ด้วย AWS KMS และใช้ Private Endpoints เพื่อป้องกันการเข้าถึงจากภายนอก
  • API Protection: ใช้ AWS WAF เพื่อป้องกัน API จาก IP ที่เป็นอันตราย และควบคุมการเข้าถึงด้วย rule-based policies
  • Account Isolation: แยก AWS Account ตาม environment (เช่น DEV, PROD) เพื่อจำกัดขอบเขตของความเสียหาย
  • Code & Dependency Analysis: ใช้ Amazon Inspector ตรวจสอบช่องโหว่ใน source code และ dependency
  • Threat Detection: ใช้ Amazon GuardDuty ตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติจาก VPC Flow Logs โดยไม่ต้องเปลี่ยน config
  • Security Visibility: ใช้ AWS Security Hub เพื่อรวมข้อมูลช่องโหว่และความเสี่ยงจากหลายบริการในที่เดียว
  • Global Compliance: รองรับการขยายระบบไปยังหลายภูมิภาค พร้อมปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยระดับโลก
  • Automated Response: ใช้ AWS Config, Security Hub, EventBridge และ SIEM เพื่อแจ้งเตือนและตอบสนองเหตุการณ์แบบอัตโนมัติ
  • กรณีศึกษา Social+: ย้าย workload จาก Kubernetes ไปยัง AWS Serverless ทำให้ส่งมอบฟีเจอร์เร็วขึ้น 75%, ลดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกัน 3 เท่า
  • หลักการของ Serverless Security:
    1. Implement least privilege – ใช้สิทธิ์เท่าที่จำเป็น
    2. Apply defense in depth – ป้องกันหลายชั้น
    3. Leverage deep integrations – เชื่อมต่อกับบริการ AWS อื่น ๆ อย่างลึกซึ้ง
    4. Automate security – ทำให้การป้องกันเป็นแบบอัตโนมัติ

สรุป

การสร้างแอปพลิเคชันที่ปลอดภัยบน AWS ไม่ได้หมายถึงการเพิ่มขั้นตอนที่ซับซ้อน แต่คือการออกแบบระบบให้มีความปลอดภัยตั้งแต่ต้นทาง โดยเฉพาะเมื่อใช้สถาปัตยกรรมแบบ Serverless ที่ช่วยให้ทีมพัฒนาสามารถส่งมอบฟีเจอร์ได้รวดเร็วขึ้น พร้อมผสานความปลอดภัยเข้าไปในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การจัดการสิทธิ์ การเข้ารหัสข้อมูล การตรวจสอบโค้ด ไปจนถึงการมอนิเตอร์และตอบสนองเหตุการณ์แบบอัตโนมัติ

กรณีศึกษาจาก Social+ แสดงให้เห็นว่า การย้ายจาก Kubernetes ไปยัง AWS Serverless ช่วยให้สามารถพัฒนาได้เร็วขึ้นถึง 75% ลดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันของทีมได้อย่างชัดเจน ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้จากการวางรากฐานด้านความปลอดภัยที่ถูกต้องตั้งแต่วันแรก

ผมหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับผู้อ่านได้นะครับ

POP (Tinnakorn Maneewong) จากบริษัท Classmethod (Thailand) ครับ !

บทความที่เกี่ยวข้อง

Share this article

facebook logohatena logotwitter logo

© Classmethod, Inc. All rights reserved.