
ปลดล็อกโซลูชั่นที่ดีที่สุดในการ Migration ข้อมูลสู่ AWS Cloud!
สวัสดีค่า สาลี่ จาก Classmethod เองค่ะ 😄✨
วันนี้มีเรื่องน่าสนใจมาแชร์กับทุกคนค่ะ! ได้มีโอกาสแปลบล็อกเกี่ยวกับการย้ายระบบไปยัง AWS Cloud หรือที่เรียกกันว่า "Migration" นั่นเอง
เชื่อว่าหลายๆ องค์กรคงกำลังคิดกันอยู่ว่า "เอ๊ะ ระบบเราควรจะย้ายขึ้นคลาวด์หรือเปล่านะ?" หรือ "ถ้าจะย้าย ต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง?" หรือบางที่อาจจะมึนงงว่า "AWS เป็นตัวเลือกที่เหมาะกับเราจริงๆ หรือเปล่า?" 🤔
บทความนี้ตอบโจทย์สุดๆ เลยค่ะ! เพราะจะมาเล่าให้ฟังตั้งแต่ข้อดีของ AWS, วิธีการเตรียมตัวก่อนย้าย, กลยุทธ์ 7R ที่เป็นเทคนิคสุดเจ๋งในการวางแผนการย้าย จนไปถึงขั้นตอนการย้ายระบบจริงๆ ซึ่งขอบอกเลยว่าอ่านจบแล้วจะได้ความรู้ที่ครอบคลุมและปฏิบัติได้จริงเลยค่ะ! หากใครกำลังมองหาข้อมูลเกี่ยวกับการ Migration ไปยัง AWS อยู่แล้ว บทความนี้ก็ตอบโจทย์สุดๆ ค่ะ ✨
บทความนี้แปลมาจากบล็อกของ ทีมงาน Classmethod Japan โดยมีการดัดแปลงจากต้นฉบับเล็กน้อย โดยสามารถอ่านบทความต้นฉบับได้ที่ ➞ AWS移行の最適解はどう見つけるか?移行の進め方を解説
⭑・゜゜・⭑・゜゜・⭑・゜゜・⭑
หลายๆองค์กรที่กำลังมองหาโซลูชั่นในการย้ายข้อมูลจากระบบ On-premises ขึ้นคลาวด์ หรือที่เรียกว่าการ Migration นั้น เชื่อว่า AWS จัดเป็นหนึ่งในตัวเลือกของหลายองค์กรที่กำลังพิจารณาอยู่แน่นอน
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ระบบการทำงานภายในองค์กรแต่ละที่ก็มีความแตกต่างกัน จึงมีหลายองค์กรที่กำลัง สับสน มึนงง ไปไม่ถูก ว่าจะทำการ Migration ข้อมูลสู่ AWS Cloud ได้อย่างไร 🤔 แถมยังต้องพิจารณาให้ดีอีกว่า AWS เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกับองค์กรของเราจริงๆหรือเปล่า
เพราะเหตุนี้ ในบทความที่ทุกท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เราจะมาทำการแนะนำโซลูชั่นในการ Migration ข้อมูลสู่ AWS Cloud! ด้วยวิธีที่เหมาะสมที่สุดตามสถานการณ์และเงื่อนไขเฉพาะของแต่ละองค์กร รวมถึงอธิบายให้ทุกเราได้เข้าใจถึงสิ่งสำคัญที่ต้องเตรียมก่อนจะ Migration ด้วย
ข้อดีและความจำเป็นของการย้ายระบบไปยัง AWS ☁️🚀
✅4 ข้อดีหลักของการย้ายมาใช้ AWS
- ต้นทุนที่กำหนดได้ : คิดค่าบริการตามการใช้งานจริงหรือจ่ายเท่าที่ใช้ (pay as you go) ไม่จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้น สามารถเพิ่มหรือลดทรัพยากรได้ตามความต้องการ และสามารถปรับเปลี่ยนต้นทุนให้เหมาะสมกับองค์กรของเราได้
- ยืดหยุ่น : สามารถเพิ่มหรือลดทรัพยากรได้ตามความยืดหยุ่นของการใช้งาน รองรับการใช้งานสูงสุด (Peak time) และลดความสิ้นเปลืองได้
- นำเทคโนโลยีล่าสุดมาใช้เสมอ : ด้วยความที่ AWS มี Service ให้เลือกใช้มากกว่า 200 ตัว ทำให้สามารถนำเทคโนโลยีล่าสุด อย่าง IoT และ AI มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การันตีความปลอดภัย : มีการรับรองความปลอดภัยด้วยฟีเจอร์การป้องกันแบบหลายชั้นและการรับรองมาตรฐานสากล
หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อดีแต่ละข้อ รวมถึงความแตกต่างระหว่าง AWS กับระบบ On-premises แบบเจาะลึก สามารถศึกษาได้จากบทความอ้างอิง ➞ AWS คืออะไร? ดีกว่า On-Premise อย่างไร
การย้ายระบบไปยัง AWS มีข้อดีมากมาย ทั้งในเรื่องของการลดต้นทุน และมีจัดการทรัพยากรที่ยืดหยุ่น รวมถึงการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีล่าสุด และระบบความปลอดภัยขั้นสูง อย่างไรก็ตาม หากผู้ใช้ตั้งค่าผิดพลาดหรือมีการจัดการที่ไม่เหมาะสม อาจนำไปสู่ความเสี่ยงต่างๆ เช่น ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นโดยไม่คาดคิด หรือเกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยได้
ดังนั้น การป้องกันความเสี่ยงเหล่านี้ จำเป็นต้อง มีการเตรียมตัวล่วงหน้าและวางแผนอย่างรอบคอบ ซึ่งนอกจากการออกแบบระบบให้เหมาะสมแล้ว การจัดเตรียมระบบการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ก็จะช่วยให้เราสามารถใช้ประโยชน์จากข้อดีของ AWS ได้อย่างเต็มที่ และด้วยการเตรียมการเหล่านี้ก็จะช่วยให้องค์กรของเราสามารถย้ายระบบไปยัง AWS ได้สำเร็จนั่นเอง🏆
การเตรียมการย้ายระบบไปยัง AWS🔍📝
🎯วิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันและกำหนดเป้าหมาย
สิ่งสำคัญที่สุดในการเตรียมการย้ายระบบไปยัง AWS นั้น คือ “การวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันและกำหนดเป้าหมาย”ด้วยความนิยมของ Cloud ในปัจจุบัน ทำให้องค์กรจำนวนมากเลือกใช้ Cloud เพื่อพัฒนาธุรกิจ อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังสำคัญที่ทุกเราควรคำนึง นั่นก็คือ “ไม่ใช่ทุกระบบจะเหมาะสมกับการย้ายระบบไปยัง AWS” นั่นเอง
เริ่มแรก จำเป็นต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ โครงสร้าง และ ประเภทของเซิร์ฟเวอร์ภายในองค์กร ของเราก่อน การวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันอย่างละเอียดจะช่วยให้เราสามารถพิจารณาความเหมาะสม ความเป็นไปได้ในการย้ายแต่ละระบบไปยัง AWS รวมถึงการพิจารณาด้านต้นทุนอย่างละเอียดได้ เพื่อการวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันจากหลากหลายมุมมอง ทางเราขอแนะนำให้ใช้ โปรแกรมการประเมินที่จัดเตรียมโดย AWS และพาร์ทเนอร์ของ AWS ซึ่งจะช่วยให้การการเตรียมการย้ายระบบไปยัง AWS ของเรามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ การกำหนดเป้าหมายของการย้ายระบบ ก็สำคัญเช่นกัน เนื่องจากการตั้งเป้าหมายไว้ ก็เสมือนเป็นการกำหนดทิศทางของโครงการย้ายระบบทั้งหมด ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องกำหนดเป้าหมายไว้อย่างชัดเจนเพื่อเป็นการเริ่มต้นที่ดีนั่นเอง 🌟
🎯วางกลยุทธ์ในการย้ายระบบ
ซึ่งหากเราทำการวิเคราะห์วิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันและกำหนดเป้าหมายเสร็จสิ้นแล้ว ขั้นตอนถัดไปก็คือ การ วางกลยุทธ์ในการย้ายระบบ นั่นเอง
การวางกลยุทธ์ในการย้ายระบบไปยัง AWS มีหลากหลายวิธีด้วยกัน เช่น
- วิธีย้ายแบบพยายามรักษาโครงสร้างระบบเดิมไว้ให้มากที่สุด
- วิธีย้ายแบบเปลี่ยนระบบปฏิบัติการหรือซอฟต์แวร์กลางเพื่อให้สามารถใช้บริการจัดการของ AWS ได้
- วิธีย้ายแบบปรับโครงสร้างระบบใหม่ทั้งหมดให้เป็นแบบคลาวด์เนทีฟ (ระบบที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานบนคลาวด์โดยเฉพาะ)
โดย AWS ได้แบ่งวิธีการย้ายระบบเหล่านี้ออกเป็น 7 ประเภท ซึ่งเรียกว่า "7R" นั่นเอง🔄
เมื่อวางแผนกลยุทธ์การย้ายระบบ เราจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่า ควรย้ายระบบใด ด้วยวิธีไหนจึงจะเหมาะสมกับองค์กรของเรามากที่สุด โดยต้องประเมินระบบแต่ละตัวและเลือกวิธีการย้ายที่เหมาะสมที่สุดสำหรับระบบนั้นๆ ด้วย
🧩 7R:กลยุทธ์การย้ายระบบไปยัง AWS 🧩
-
Relocate (ย้ายที่ตั้ง) : ย้ายเครื่องเสมือน (Virtual Machine) ของ VMware ไปยังบริการ Amazon Elastic VMware Service (EVS)
-
Rehost (โฮสต์ใหม่) : ย้ายระบบไปยัง AWS โดยยังคงรักษาโครงสร้างระบบเดิมไว้เหมือนเดิม
-
Replatform (เปลี่ยนแพลตฟอร์ม) : อัพเกรดหรือเปลี่ยนแปลงระบบปฏิบัติการหรือซอฟต์แวร์กลางก่อนย้ายไปยัง AWS
-
Refactor (ปรับโครงสร้างใหม่) : เปลี่ยนโครงสร้างระบบให้เป็นแบบคลาวด์เนทีฟแล้วจึงย้ายไป
-
Repurchase (ซื้อใหม่) : เปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ SaaS หรือซื้อ/เปลี่ยนแอปพลิเคชันใหม่
-
Retain (คงไว้) : ระบบที่ไม่สามารถย้ายไป AWS ได้หรือไม่จำเป็นต้องย้าย ให้ยังคงทำงานในสภาพแวดล้อมเดิมต่อไป
-
Retire (ปลดระวาง) : หยุดหรือยกเลิกเซิร์ฟเวอร์หรือแอปพลิเคชันที่ไม่จำเป็นต้องใช้งานอีกต่อไป
แน่นอนว่า ตอนเราเลือกกลยุทธ์การย้ายระบบไปยัง AWS สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา คือ สมดุลระหว่างเป้าหมายระยะยาว และ ความเป็นไปได้ในการนำไปปฏิบัติจริง เช่น หากในอนาคต องค์กรของเราต้องใช้ระบบแบบ serverless หรือโครงสร้างแบบคลาวด์เนทีฟ แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงเชิงปฎิบัติที่ใหญ่เกินไป เราก็สามารถเลือกกลยุทธ์แบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเลือกกลยุทธ์การย้ายระบบในรูปแบบที่ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงเชิงปฎิบัติมากนัก ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่ดี
และที่สำคัญในการเลือกกลยุทธ์คือ ควรอ้างอิงแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practices) ของ AWS มาปรับให้เข้ากับสถานการณ์ขององค์กรเราเพื่อหาจุดสมดุลที่เหมาะสมที่สุด
การย้ายระบบไปยังคลาวด์ ไม่ใช่เพียงการย้ายเชิงเทคนิคเท่านั้น แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการปฎิบัติงานและแนวคิดในการออกแบบด้วย การดำเนินการอย่างค่อยเป็นไป โดย รักษาสมดุลระหว่างความเป็นไปได้ในระยะสั้น กับ การปรับให้เหมาะสมที่สุดในระยะยาว คือกุญแจที่จะปลดล็อกไปสู่ความสำเร็จนั่นเอง 🚩
วิธีการย้ายระบบไปยัง AWS🧭📋
วิธีการย้ายระบบไปยัง AWS โดยทั่วไปจะมีขั้นตอน ดังนี้
1️⃣การตรวจสอบ PoC (Proof of Concept)🔬
ก่อนเริ่มย้ายระบบไปยัง AWS ควรทำการตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ และทดลองย้ายระบบขนาดเล็กก่อน (Proof of Concept หรือ PoC) เพื่อยืนยันวิธีการและขั้นตอนการย้าย ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้เราสามารถค้นพบปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในการย้ายระบบล่วงหน้า และเป็นการตรวจสอบความพร้อมของเครื่องมือที่ใช้ และมั่นใจได้ว่าแผนที่วางไว้สามารถทำงานได้จริง โดยทางเราขอแนะนำให้ใช้ PoC โดยระบุจุดที่ต้องปรับปรุงเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในการย้ายระบบจริง
2️⃣การออกแบบและสร้างสภาพแวดล้อม AWS🔧
เมื่อออกแบบสภาพแวดล้อมบน AWS ควรใช้กรอบการทำงาน AWS Well-Architected ซึ่งยึดหลักแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดตาม 6 เสาหลัก (ความน่าเชื่อถือ, ความปลอดภัย, ประสิทธิภาพการทำงาน, การเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุน, ความเป็นเลิศในการดำเนินงาน และความยั่งยืน)
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกำหนดค่าเครือข่ายบน AWS จะแตกต่างจากสภาพแวดล้อม on-premise โดยเฉพาะแนวคิดเรื่อง VPC (Virtual Private Cloud) ซึ่งเป็นเครือข่ายเสมือนที่แยกออกมาสำหรับทรัพยากรของเรา โดยเราจำเป็นต้องออกแบบโครงสร้างเครือข่ายใหม่ โดยทำความเข้าใจคุณลักษณะเฉพาะของ AWS อย่างลึกซึ้ง เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากบริการคลาวด์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
3️⃣การย้ายระบบจริง🛠️
เมื่อระบุจุดที่ต้องปรับปรุงผ่านการทำ PoC และออกแบบสภาพแวดล้อมบน AWS ตามหลักแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดแล้ว ก็ถึงเวลาสำหรับการย้ายระบบจริง ซึ่ง AWS มีเครื่องมือและบริการที่พร้อมสำหรับการย้ายระบบที่หลากหลาย ซึ่งเราสามารถเลือกใช้เครื่องมือในการย้ายให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ และคงประสิทธิภาพในการย้ายได้ โดยด้านล่างนี้ คือเครื่องมือที่เราได้รวบรวมไว้ให้เราพิจารณาใช้ในการย้ายระบบไปยัง AWS
🧩 เครื่องมือและบริการที่แนะนำในการย้ายระบบไปยัง AWS 🧩
-
การย้ายเซิร์ฟเวอร์: AWS Application Migration Service (AWS MGN)
AWS MGN เป็นเครื่องมือสำหรับย้ายเซิร์ฟเวอร์เสมือนและเซิร์ฟเวอร์กายภาพไปยัง Amazon EC2 บน AWS โดยใช้วิธีการแบบ lift-and-shift ซึ่งย้ายระบบโดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนมากนัก ลดเวลาการหยุดทำงานของระบบให้น้อยที่สุด และช่วยให้สามารถย้ายเซิร์ฟเวอร์จากสภาพแวดล้อมเดิมไปยัง AWS ได้อย่างมีประสิทธิภาพ -
การย้ายฐานข้อมูล: AWS Database Migration Service (AWS DMS)
AWS DMS เป็นบริการที่รองรับการย้ายฐานข้อมูลประเภทต่างๆ ไปยังสภาพแวดล้อม AWS (เช่น Oracle Database, SQL Server, PostgreSQL, MySQL และอื่นๆ) โดยสามารถย้ายไปยัง Amazon EC2 หรือ Amazon RDS และรองรับการย้ายระหว่างแพลตฟอร์มที่เหมือนกันหรือแตกต่างกัน พร้อมกับสนับสนุนการย้ายข้อมูลแบบต่อเนื่อง (continuous data replication) เพื่อลดการหยุดชะงักของระบบ -
การย้ายข้อมูล: AWS DataSync
AWS DataSync เป็นเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อย้ายข้อมูลจาก on-premise ไปยัง AWS ผ่านช่องทางออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ บริการนี้ช่วยให้องค์กรสามารถย้ายข้อมูลจากระบบจัดเก็บไฟล์ไปยังบริการจัดเก็บข้อมูลของ AWS (เช่น Amazon FSx หรือ Amazon EFS เป็นต้น)ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
การปรับให้เหมาะสมหลังการย้ายไป AWS⚙️🔝
หลายๆ องค์กรที่เคยใช้ระบบ On-premises นั้น พอซื้อและติดตั้ง Server เสร็จแล้ว ก็จะยากที่จะเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าต่างๆ ในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นข้อได้เปรียบอย่างใหญ่หลวงของ Cloud Environment ก็คือ แม้หลังจาก Migration เสร็จแล้ว เรายังสามารถปรับเปลี่ยนและจัดการ Resource ได้อย่างรวดเร็วและยืดหยุ่นตามต้องการ
แน่นอนว่า ก่อนที่จะเริ่มต้น เรา ต้องประเมินการใช้งาน Resource ต่างๆ ให้ดีก่อน และตัดสินใจเลือก Configuration ที่เหมาะสม แต่เมื่อเริ่มใช้งานจริงแล้ว ก็มักจะเจอสถานการณ์ที่ไม่ได้คาดคิดไว้บ่อยๆ เช่น บางครั้งอาจพบว่าการใช้ Resource น้อยกว่าที่คิดไว้ จึงสามารถลด Spec ลงได้ หรือในทางกลับกัน อาจพบว่าค่าใช้จ่ายสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้
เพราะเหตุนี้ หลังจาก Migration ไป AWS แล้ว การติดตามสถานการณ์การใช้งานและค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก รวมถึงการตรวจสอบและปรับปรุง Resource หรือ Configuration ต่างๆ เมื่อจำเป็น การทำ Optimization อย่างต่อเนื่องแบบนี้ จะช่วยให้เราสามารถรักษาประสิทธิภาพการทำงานไว้ได้ พร้อมกับเพิ่มความคุ้มค่าในด้านต้นทุนอีกด้วย
นอกจากนี้ เมื่อมองในระยะยาว เรายังควรพิจารณาการนำเทคโนโลยีและบริการใหม่ๆ เข้ามาใช้ด้วย เช่น การใช้ Container หรือ Serverless Architecture การใช้ประโยชน์จาก Managed Service ให้มากขึ้น และการทำ Automation ในกระบวนการสร้าง ดูแล และ Monitor Infrastructure ต่างๆ การใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้อย่างเหมาะสม จะช่วยให้สามารถสร้าง Environment ที่มีประสิทธิภาพและสามารถปรับขนาดได้ตามความต้องการ
การปรับให้เหมาะสมหลังจาก Migration ไป AWS นั้นไม่ใช่งานที่ทำเพียงครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็นกระบวนการที่ต้องดำเนินต่อเนื่อง โดยการใช้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นของ Cloud Environment ให้เต็มที่ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยให้เราได้รับคุณค่าที่แท้จริงจากการ Migration ไป AWS ได้นั่นเอง
การใช้ประโยชน์จาก AWS Partner เพื่อให้การ Migration ประสบความสำเร็จ🤝🏆
หลายๆ องค์กรมองว่า AWS เป็นแพลตฟอร์มที่ง่ายต่อการสร้าง Environment ต่างๆ ซึ่งก็จริงอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ด้วย Design Concept ที่เป็นเอกลักษณ์ของ AWS และประเด็นต่างๆ ที่ต้องพิจารณา อาจทำให้กระบวนการ Migration มีความซับซ้อนมากขึ้นได้ แค่เพียงการย้ายข้อมูลเพียงอย่างเดียว วิธีการที่เหมาะสมที่สุดก็จะแตกต่างกันไปตามปริมาณและประเภทของข้อมูล นอกจากนี้ยังต้องประเมินผลกระทบต่อการทำงานอย่างรอบคอบอีกด้วย เช่น ระดับการยอมรับได้ของ System Downtime เป็นต้น
นอกจากนั้น ในกระบวนการ Migration จริงๆ แล้ว เราก็มักจะเจอปัญหาที่ไม่ได้คาดคิดไว้บ่อยๆ เช่น กรณีที่ระบบ On-premises ไม่ได้เชื่อมต่อกับ Internet ทำให้ไม่สามารถใช้วิธี Migration ที่วางแผนไว้ได้ หรือกรณีที่ OS เป็น Version เก่าเกินไป จึงต้อง Upgrade ก่อน หรือแม้กระทั่งกรณีที่มีการเชื่อมโยงกับระบบอื่นๆ อย่างใกล้ชิด ทำให้ขอบเขตที่ได้รับผลกระทบกว้างมาก เพื่อให้การ Migration เป็นไปอย่างราบรื่น การทำ PoC (Proof of Concept) เพื่อตรวจสอบทีละขั้นตอนจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
หากจะเริ่มเรียนรู้ความรู้เกี่ยวกับ AWS ตั้งแต่ศูนย์ และพยายามทำการ Migration ทั้งหมดด้วยตัวเอง ก็จะต้องใช้เวลาและแรงงานจำนวนมาก แม้ว่าเป้าหมายสุดท้ายจะเป็นการพัฒนาความสามารถภายในองค์กร (In-house) ก็ตาม แต่เพื่อให้ได้รับ Know-how ที่จำเป็นอย่างรวดเร็วและสามารถดำเนินการ Migration ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราขอแนะนำให้ใช้การสนับสนุนจาก AWS Partner ที่มีประสบการณ์ในช่วงเริ่มต้น
การทำงานร่วมกับ AWS Partner ที่มีความเชี่ยวชาญจะช่วยลดความเสี่ยงในการ Migration และช่วยให้องค์กรสามารถได้รับประโยชน์สูงสุดจากการย้ายไปใช้ AWS Cloud ได้อย่างแท้จริง
การสนับสนุน Migration ของ Classmethod👨💻💝
หลายๆ องค์กรที่กำลังมองหาพาร์ทเนอร์ที่เชื่อถือได้สำหรับการ Migration ไป AWS นั้น Classmethod จัดเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจแน่นอน ด้วยประสบการณ์ในการให้การสนับสนุนการนำ AWS เข้ามาใช้งานให้กับองค์กรต่างๆ มากกว่า 5,000 แห่ง Classmethod จึงสามารถมอบบริการสนับสนุนการ Migration ไป AWS ได้อย่างครบครันและเหมาะสม
การให้บริการของเราจะแบ่งขั้นตอนการ Migration เป็น 4 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ "การประเมิน" "การเตรียมการ" "การ Migration" และ "การดูแลระบบ" โดยเราจะจัดทำและดำเนินการตาม AWS Migration Strategy ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับลูกค้าแต่ละราย จุดแข็งของ Classmethod อยู่ที่การใช้ประโยชน์จากความรู้เชิงลึกและประสบการณ์อันยาวนาน เพื่อระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เนื่อนๆ และแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ เรายังมีส่วนช่วยในการปรับให้เหมาะสมหลัง Migration และการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
⭑・゜゜・⭑・゜゜・⭑・゜゜・⭑
บทความอ้างอิงเพิ่มเติม
สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการ Migration ได้ตามบทความอ้างอิงด้านล่างได้เลยนะคะ
เกี่ยวกับ MGN
- อัพเดทบริการ AWS Application Migration Service ในปี 2024
- ลองใช้ AWS Application Migration Service(MGN) ย้าย Windows Server ขึ้น AWS
เกี่ยวกับ DMS
- [AWS 101] : AWS Database Migration Service (DMS) คืออะไร?
- สอนใช้ AWS DMS ย้ายข้อมูลจาก RDS MySQL ไปอีก RDS แบบ Step-by-Step พร้อมแนวทางแก้ปัญหา
เกี่ยวกับ DataSync
- แนะนำบทความเกี่ยวกับการ Migration ไปยัง AWS Thailand Region (ap-southeast-7)
- วิธีการย้ายข้อมูลของ Amazon Elastic File System(EFS) ไปยัง Region อื่น ด้วย AWS DataSync
- วิธีการย้ายข้อมูลของ Amazon S3 ไปยัง Region อื่น ด้วย AWS DataSync
⭑・゜゜・⭑・゜゜・⭑・゜゜・⭑
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกคนได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับการวางแผน AWS Migration นะคะ 🌟 การย้ายระบบไปยัง Cloud อาจดูซับซ้อน แต่ด้วยการเตรียมการที่ดีและการเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม เชื่อว่าทุกองค์กรจะสามารถทำได้สำเร็จแน่นอนค่ะ!
หากใครสนใจหรือต้องการคำปรึกษาเกี่ยวกับการ Migration ไปยัง AWS สามารถติดต่อทีมงาน Classmethod ได้เสมอนะคะ เรายินดีเป็นพาร์ทเนอร์ที่จะช่วยให้การเดินทางสู่ Cloud ของทุกคนเป็นไปอย่างราบรื่น 🚀✨
ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ และหวังว่าจะได้เจอกันในบทความหน้าอีกนะคะ! 😊💕